ข่าวใหญ่สัปดาห์ที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้น 2 เหตุการณ์ช็อกโลก นั่นก็คือคนร้ายขับรุบรรทุกพุ่งเข้าชนผู้คนที่กำลังเดินจับจ่ายซื้อของอย่างคับคั่งในตลาดคริสต์มาส ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 12 คน บาดเจ็บอีกกว่า 50 ราย ซึ่งรายงานข่าวระบุชื่อผู้ก่อเหตุเป็นผู้อพยพที่เข้ามาอยู่ในเยอรมนี เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กระแสการต่อต้านผู้อพยพลี้ภัยในเยอรมนี รวมทั้งอีกหลายประเทศในยุโรปยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม และยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟแห่งการแบ่งแยก และความเกลียดชังเข้ามาบ่อนทำลายความสามัคคีท่ามกลางมวลมนุษยชาติที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติบนความแตกต่างทางความเชื่อด้านศาสนา และเชื้อชาติ อีกข่าวหนึ่งก็คือการลอบสังหารอย่างอุกอาจ ปลิดชีพนายอังเดรย์ คาร์ลอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำตุรกี ขณะกล่าวสุนทรพจน์เปิดงานนิทรรศการศิลปะ ในกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกี ซึ่งมือปืนก็ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนไกล แต่เป็นนายเมฟลุต เมิร์ต อัลตินตาส อายุ 22 ปี เป็นตำรวจสังกัดหน่วยปราบจลาจล ที่ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในทีมรักษาความปลอดภัยในวันนั้น โดยหลังจากก่อเหตุแล้ว มือปืนก็ได้ตะโกนว่า "อย่าลืมอเลปโป" และสรรเสริญพระเจ้าในศาสนาอิสลามออกมาก่อนที่เขาจะถูกวิสามัญฆาตรกรรมในที่เกิดเหตุ ทำให้เชื่อว่า มูลเหตุจูงใจในครั้งนี้น่าจะมาจาก การที่รัสเซีย และพันธมิตรเข้าไปปฏิบัติการกวาดล้างฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ในเมืองอเลปโป แน่นอนการสังหารบุคคลระดับเอกอัครราชทูตไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะถือเป็นตัวแทนหมายเลขหนึ่งของประเทศนั้นๆ และนี่คือรัสเซีย อีกหนึ่งมหาอำนาจของโลก ผู้นำอย่าง "ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน" คงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แน่ๆ แม้ทางฝ่ายรัสเซียจะบอกว่าจะรอจนกว่าจะมีผลการสอบสวนที่ชัดเจนว่าใคร หรือฝ่ายใดที่อยู่เบื้องหลังมือปืน แต่หลายฝ่ายก็เชื่อว่า สมรภูมิอเลปโปที่เดือดจัดอยู่แล้ว ไม่แคล้วพังราบเป็นหน้ากลอง ไม่ต้องพูดถึงประชาชน คนบริสุทธิ์ที่จะถูกไฟจากสงครามแผดเผาอีกไม่รู้เท่าไหร่ แต่หวั่นเกรงไปกว่านั้น อะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า หากกระชากหน้ากากคนวางแผนได้แล้ว มีคนถึงขนาดหวั่นเกรงว่า อาจจะเป็นชะนวนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 เลยก็เป็นได้ และด้วยความก้าวหน้าทางยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน หากมีสงครามขนาดนั้นขึ้นมาจริงๆ ช้าเร็วเราเราคงหนีไม่พ้นสิ้นโลกเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ยังไม่เกิด เรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งตะหนกกันจนเกินไป เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นส่วนประกอบของเหตุการณ์ที่ว่า และที่ผ่านมามนุษยชาติเองก็ผ่านพ้นเรื่องราว "เกือบสิ้นโลก" มาแล้วนับไม่ถ้วน แต่นั่นแหละ ในเมื่อไม่ถึงคราว เราก็ยังแคล้วคลาดมาได้ทุกครั้ง วันนี้เลยจะมายกตัวอย่างของเหตุการณ์สำคัญหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดจะทำให้เราไม่มีโลกเบี้ยวๆ บูดๆ ใบนี้ให้อยู่อาศัยกันเสียแล้ว เริ่มต้นจาก "วีรบุรุษผู้หยุดสงครามนิวเคลียร์" ย้อนไปเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2526 ขณะนั้นยังเป็นช่วงเวลาของสงครามเย็น และความตึงเครียดระหว่างสหภาพโซเวียต กับสหรัฐฯ นั้นต้องบอกว่าอยู่ในระดับรุนแรง พ.ท.สตานิสลาฟ เปตรอฟ ซึ่งรับผิดชอบบังคับบัญชาการอยู่ในฐานเฝ้าระวังการโจมตีที่จะรุกล้ำเข้ามาในดินแดนอันกว้างใหญ่ของโซเวียต แม้ทุกๆ ค่ำคืนจะเป็นคืนที่เงียบเหงา แต่ในคืนที่เกิดเหตุนั้นระบบตรวจจับอาวุธนิวเคลียร์มีการแจ้งเตือนว่า มีขีปนาวุธกำลังพุ่งเป้ามาโจมตีโซเวียต ในขณะที่ทั่วทุกแห่งเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโวยวาย สัญญาณไซเรนดังขึ้นระงม พ.ท.เปตรอฟ คิดว่าคงถึงกาลอวสานของทุกชีวิตบนโลกนี้แน่แล้ว หากทั้งสองฝ่ายโจมตีใส่กันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ แต่แทนที่เขาจะตัดสินใจตอบโต้ไปตามสัญญาณเตือน เขากลับสงบนิ่งและไตร่ตรองสถานการณ์ และคิดว่าอาจจะเป็นความผิดพลาดของระบบเตือนภัย สุดท้ายก็ไม่มีขีปนาวุธถูกปล่อยออกจาโซเวียต เช่นเดียวกันไม่มีการโจมตีเข้ามา และแน่นอนมนุษยชาติก็ยังปลอดภัย ซึ่งจากการตรวจสอบภายหลังก็พบว่าเป็นความผิดพลาดของระบบอันเนื่องมาจากดาวเทียมถูกรบกวนจากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นที่ดวงอาทิตย์จริงๆ ต้องขอบคุณความสงบ และสติของนายทหารผู้นี้จริงๆ ที่ทำให้โลกใบนี้รอดมาได้ในครั้งนั้น เหตุการณ์ถัดมา เพิ่งจะไม่นานนี่เอง เมื่อปี 2555 องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือนาซา ได้ตระหนักถึงปรากฏการณ์ "พายุสุริยะ" หรือการที่ผิวของดวงอาทิตย์ระเบิดขึ้นมา เป็นโชคดีที่วงโคจรของโลกไม่ได้เคลื่อนที่ไปอยู่ในเส้นทางของการระเบิดดังกล่าว หากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ก่อนหน้า โลกใบนี้ของเราคงถูกส่งกลับไปยังศตวรรษที่ 17 เป็นแน่ เพราะผลของการระเบิดจะทำให้เกิดอนุภาคประจุไฟฟ้าพุ่งออกมา ประจุไฟฟ้าเหล่านี้จะรบกวนระบบการสื่อสารมีผลทำให้การสื่อสารระยะไกลเป็นอัมพาต เครื่องบินไม่สามารถติดต่อกับหอบังคับการได้ โทรศัพท์มือถือใช้งานไม่ได้ รวมถึงความเสียหายต่อดาวเทียม แม้พายุสุริยะอาจจะไม่ได้ระเบิดโลกเป็นสองเสี่ยง แต่เรากำลังพูดถึงความโกลาหลอันเนื่องมาจากความตื่นตระหนกของมนุษย์โลก ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตก็ได้ ต่อมาคือการระบาดของ "กาฬโรค" หรือ "กาฬมรณะ" ที่มาจากหมัดหนูดำ จัดเป็นโรคระบาดที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ โรคนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา เพราะเมื่อก่อนเทคโนโลยีการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า โดยในช่วงศตวรรษที่ 14 ในยุโรป ประชากรหายไปเกือบครึ่ง เพราะโรคระบาดนี้คร่าชีวิตผู้คนไปราว 20 ล้านคน แม้โรคจะไม่ได้ทำลายล้างโลก แต่ความกลัว และความตระหนกเกิดขึ้นในทุกหัวใจของทุกคน ก่อให้เกิดทั้งกลียุคทางศาสนา สังคมและเศรษฐกิจ กว่าที่ประชากรยุโรปจะกลับคืนจำนวนก็ใช้เวลาไปถึง 150 ปี และกาฬโรคก็อุบัติซ้ำอีกเป็นครั้งคราวในยุโรปจนกระทั่งศตวรรษที่ 19 ในเดือน ต.ค. 2505 ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคเนดี ของสหรัฐฯ ต้องตกอยู่ในภาวะหวั่นวิตกอยู่นานถึง 13 วัน หลังทราบว่าสหภาพโซเวียตได้มีการติดตั้งขีปนาวุธในคิวบา ภายใต้ยุคการปกครองของฟิเดล คาสโตร ซึ่งห่างจากสหรัฐฯ เพียงแค่ 90 กม. ภายหลังจากมาตรการปิดล้อมต่างๆ และการตอบโต้ทางการทูตอย่างดุเดือด ในที่สุดประธานาธิบดีเจเอฟเค ก็สามารถบรรลุข้อตกลง โดยทางโซเวียตตกลงรื้อถอนระบบขีปนาวุธออกจากคิวบา แลกกับการที่สหรัฐฯ เองก็ถอนขีปนาวุธออกจากตุรกีบริเวณชายแดนกับโซเวียต เหตุการณ์นี้มีชื่อเรียกกันว่า "วิกฤติการณ์แคริบเบียน" หรือ "วิกฤติการณ์เดือนตุลาคม" ซึ่งแม้ว่าจะไม่จบลงที่สงครามนิวเคลียร์ กระนั้นสงครามเย็นระหว่าง 2 ชาติก็ดำเนินต่อมาเป็นเวลาอีกหลายทศวรรษ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการห่ำหั่นทำลายล้างไปสู่การสิ้นโลกอย่นาน อีกหนึ่งหายนะของโลกที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายในเวลาแค่เพียงปีเดียว ร้ายยิ่งกว่าการระบาดของกาฬโลก นั่นก็คือ "ไข้หวัดสเปน" เป็นการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรงที่สุด มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์เอ H1N1 ในช่วงปี 2461 - 2462 ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิต จากไข้หวัดใหญ่ ครั้งนั้นไม่น้อยกว่า 50 - 100 ล้านคนทั่วทั้งโลก หรือเท่ากับประชากร 1 ใน 3 ของทวีปยุโรปในยุคนั้น และประมาณ 500 ล้านคน หรือ ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรทั่วทั้งโลกเป็นผู้ติดเชื้อ