“บีฟิท”ประกาศเพิ่มทุน330 ล้านหุ้น ขายผู้ถือหุ้นเพิ่มสัดส่วน 1 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1.5 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 18 บาท คาดระดมเงินได้กว่า 5.9 พันล้าน ดันเงินกองทุนแข็งเกร่ง จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 13.6รองรับการขยายธุรกิจการเงินครบวงจร
นางสาวดวงใจ แก้วบุตตา กรรมการผู้จัดการ บริษัทเงินทุนศรีสวัสดิ์ จำกัด(มหาชน)หรือ BFIT เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2562 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1,102.49 ล้านบาท เป็น2,756.23 ล้านบาท โดยออกเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 330.78 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้(พาร์) 5 บาท เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตรา 1 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1.5 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ในราคาเสนอขายหุ้นละ 18 บาท
นางสาวดวงใจ กล่าวต่อว่า การเพิ่มทุนในครั้งนี้ หากผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิเต็มจำนวน บริษัทจะได้เงินเพิ่มทุนประมาณ 5.94 พันล้านบาท โดยวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุน เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตแบบครบวงจรและเสริมความความมั่นของฐานเงินกองทุนและงบดุลของบริษัท แม้ปัจจุบันสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2561 บริษัทจะมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) อยู่ที่อัตราร้อยละ 13.6 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าระดับที่ทางการกำหนด แต่หลังจากที่บริษัทเพิ่มทุนจะทำให้บริษัทจะมีเงินกองทุนแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเพียงพอต่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต
“ปัจจุบันบีฟิทมีความแข็งแกร่งด้านกองทุนเกินระดับที่ทางการกำหนดอยู่แล้ว แต่บริษัทต้องการเสริมความมั่นคงของกองทุนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ลูกค้าฝากเงินก็จะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น จึงตัดสินใจเพิ่มทุน และเชื่อว่าปีนี้ น่าจะเป็นปีที่บีฟิทมีการขยายธุรกิจแบบครบวงจร เพื่อเตรียมตัวตั้งรับการแข่งขันที่มีผู้เล่นทั้งรายเล็กและรายใหญ่เข้ามามากขึ้น และเพื่อรุกขยายฐานลูกค้าเพิ่มพอร์ตสินเชื่อ ซึ่งสุดท้ายผลประโยชน์ก็จะกลับมาสู่ผู้ถือหุ้น”นางสาวดวงใจ กล่าว
ทั้งนี้งวดสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2561 บีฟิทมีเงินรับฝากอยู่ที่ 7.2 พันล้านบาท มีสินทรัพย์รวม1.9 หมื่นล้านบาท
นางสาวดวงใจ กล่าวต่อว่า การเพิ่มทุนในครั้งนี้ หากผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิเต็มจำนวน บริษัทจะได้เงินเพิ่มทุนประมาณ 5.94 พันล้านบาท โดยวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุน เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตแบบครบวงจรและเสริมความความมั่นของฐานเงินกองทุนและงบดุลของบริษัท แม้ปัจจุบันสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2561 บริษัทจะมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) อยู่ที่อัตราร้อยละ 13.6 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าระดับที่ทางการกำหนด แต่หลังจากที่บริษัทเพิ่มทุนจะทำให้บริษัทจะมีเงินกองทุนแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเพียงพอต่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต
“ปัจจุบันบีฟิทมีความแข็งแกร่งด้านกองทุนเกินระดับที่ทางการกำหนดอยู่แล้ว แต่บริษัทต้องการเสริมความมั่นคงของกองทุนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ลูกค้าฝากเงินก็จะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น จึงตัดสินใจเพิ่มทุน และเชื่อว่าปีนี้ น่าจะเป็นปีที่บีฟิทมีการขยายธุรกิจแบบครบวงจร เพื่อเตรียมตัวตั้งรับการแข่งขันที่มีผู้เล่นทั้งรายเล็กและรายใหญ่เข้ามามากขึ้น และเพื่อรุกขยายฐานลูกค้าเพิ่มพอร์ตสินเชื่อ ซึ่งสุดท้ายผลประโยชน์ก็จะกลับมาสู่ผู้ถือหุ้น”นางสาวดวงใจ กล่าว
ทั้งนี้งวดสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2561 บีฟิทมีเงินรับฝากอยู่ที่ 7.2 พันล้านบาท มีสินทรัพย์รวม1.9 หมื่นล้านบาท