เมื่อ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลกำไรสุทธิ พบว่า ไตรมาส 4 ปี 2561 มีกำไรจำนวน 180 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 12% จากผลประกอบการของไตรมาส 4 ปี 2560 ส่งผลให้ในปี 2561 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 536 ล้านบาทและในปี 2562ตั้งเป้าเติบโตประมาณ 10-15% จากปี 2561โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งในปีนี้ประเทศไทยน่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าจำนวน 41.1 ล้านคนเพิ่มขึ้น 7.5% จากปี 2561 โดยประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายยอดนิยมจากนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ นายเพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป กล่าวว่า ในปี 2562 มีแผนจะเปิดโรงแรมใหม่จำนวน 9 แห่ง โดยเป็นโรงแรม ฮ็อปอินน์ ในประเทศไทย จำนวน 7 แห่ง โรงแรมระดับกลางและชั้นประหยัดอีก 2 แห่ง ซึ่งส่งผลให้สิ้นปี 2562 มีโรงแรมรวมทั้งสิ้น 70 แห่ง มีจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 9,559 ห้อง โดยตั้งเป้าว่าจะมีอัตราการเข้าพักมากกว่า 80% ในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 79% ในปี 2561 และคาดการณ์การเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักรวม ไม่รวมกลุ่มฮ็อป อินน์ ประมาณ 3-5% “ปีนี้เป็นปีแรกที่เปิดโรงแรมเอราวัณ กรุ๊ป ในกรุงเทพฯ จำนวน 2 แห่ง แห่งแรกคือโรงแรมฮ็อป อินน์ แจ้งวัฒนะ จำนวน 108 ห้องพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 3 ของปี 2562 บริเวณซอยแจ้งวัฒนะ 23 ใกล้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ และใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู สถานีแจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด และแห่งที่ 2 คือ โรงแรมฮ็อป อินน์ รังสิต จำนวน 79 ห้อง ตั้งอยู่ใกล้โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต และห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์ ปาร์ค รังสิต พร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส3 ของปีนี้เช่นกัน”นายเพชร กล่าว โรงแรมฮ็อป อินน์ ซึ่งโรงแรมทั้ง 2 แห่งน่าจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี ทั้งจากทำเลที่สะดวกในการเดินทาง อยู่ใกล้ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์และคุณภาพของโรงแรมซึ่งเป็นสิ่งที่ยึดถือมาโดยตลอด ตั้งแต่ในปี 2557ที่เริ่มเปิด ฮ็อป อินน์แห่งแรก จนถึงปัจจุบันสิ้นปี 2561 มีเครือข่ายโรงแรมฮ็อป อินน์รวมจำนวน 36 แห่งทั่วประเทศไทย นับเป็นกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ทที่มีเครือข่ายที่ครอบคลุมการให้บริการมากที่สุดในประเทศไทยและได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ามาโดยตลอด สะท้อนจากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพของโรงแรมเพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา รวมถึงสร้างการรับรู้ของแบรนด์ในฐานะเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่มีคุณภาพ สำหรับโรงแรมฮ็อป อินน์ อีก 5 แห่ง น่าจะเปิดให้บริการที่จังหวัด ขอนแก่น เชียงราย ระยอง หาดใหญ่ และ นครปฐม โดยจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2562 และนอกจากโรงแรมฮ็อปอินน์จำนวน 7 แห่งแล้วในปีนี้บริษัท ยังมีแผนจะเปิดให้บริการโรงแรมเมอร์เคียว ไอบิส สุขุมวิท 24 จำนวนห้องพัก 501 ห้อง ในไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งนับเป็นโรงแรมในกรุงเทพฯของบริษัท ที่มีจำนวนห้องพักมากที่สุด โดยโรงแรมตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์และห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม เป็นโรงแรมรูปแบบคอมโบโฮเต็ล แห่งที่ 3 ของบริษัทซึ่งมี 2 โรงแรมภายในตึกเดียวกันหลังจากการเปิดให้บริการโรงแรมเมอร์เคียว ไอบิส สยาม ซึ่งเป็นโรงแรมคอมโบแห่งแรกในปี 2555 และมีผลการดำเนินงานที่ดีมาโดยตลอด รวมถึงโรงแรมโนโวเทล ไอบิส สไตล์ สุขุมวิท 4 โรงแรมรูปแบบคอมโบ แห่งที่ 2 ซึ่งเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ปี 2561 และได้รับการตอบรับที่ดีโดยมีอัตราการเข้าพักมากกว่า 60% ในช่วง 3 เดือนแรกของการเปิดให้บริการ ในปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 4 ของแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี คือ ตั้งแต่ปี 2559-2563 และยังคงเดินหน้าตามแผนที่กำหนดไว้ด้วยการมุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจการพัฒนาและลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ทในประเทศไทยและอาเซียน โดยในปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาโรงแรมใหม่ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้จำนวน 9 แห่ง และปรับปรุงโรงแรมเดิมให้มีความพร้อมในการแข่งขัน รวมถึงโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและจะเปิดให้บริการในปีต่อๆ ไปด้วย จากการดำเนินงานตามแผนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น น่าจะส่งผลให้สิ้นปี 2562 บริษัทมีจำนวนโรงแรมทั้งสิ้น 70 แห่งและจำนวนห้องพัก 9,559 ห้องและน่าจะมีจำนวนห้องพักมากกว่า10,000 ห้องภายในปี 2563 ได้ตามเป้าหมาย ด้าน นางสาวกันยะรัตน์ กฤษณะเทวินทร์ รองกรรมการผู้จัดการ สายบริหารเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป กล่าวว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยไตรมาส 4 ปี 2561 กลับมาเติบโตอีกครั้งหนึ่งหลังจากการชะลอตัวในไตรมาส 3 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในไตรมาสนี้เท่ากับ 9.7 ล้านคน ขยายตัว 5% จากไตรมาส 4 ปี 2560 เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทย มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยในเดือนธันวาคม 2561 นักท่องเที่ยวจีนกลับมาเติบโตอีกครั้ง หลังจากที่ปรับตัวลดลงจากอุบัติเหตุเรือล่มที่จังหวัดภูเก็ตในเดือนกรกฎาคม 2561 แม้ว่าจะยังไม่ถือว่าเข้าสู่ภาวะปกติแต่พัฒนาการนี้ได้สะท้อนให้เห็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นตัว กันยะรัตน์ กฤษณะเทวินทร์ ส่วนในไตรมาส 4 ปี 2561 บริษัทเปิดโรงแรมใหม่จำนวน 4 แห่ง ส่งผลให้สิ้นปี 2561 บริษัทมีจำนวนโรงแรมที่เปิดให้บริการทั้งสิ้น 61 โรงแรมและมีจำนวนห้องพักทั้งหมด 8,485 ห้อง นอกจากนี้ในเดือนตุลาคม 2561บริษัทได้เปิดให้บริการห้องพักของโรงแรม เจ ดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ ที่ปรับปรุงแล้วเสร็จ ซึ่งห้องพักที่ปรับปรุงแล้วเสร็จคิดเป็นจำนวน 70% ของห้องพักทั้งหมด สำหรับการปรับปรุงห้องพักระยะสุดท้ายจำนวน 30% จะดำเนินการปรับปรุงในระหว่างไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2562 ขณะที่รายได้รวมจากการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2561 เท่ากับ 1,701 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาส 4 ปี 2560 โดยบริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ยภาษีเงินได้และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เท่ากับ 561 ล้านบาทในไตรมาส 4ปี 2561 เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาส 4ปี 2560 บริษัทฯ กำไรสุทธิเท่ากับ 180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น12% จากไตรมาส 4 ปี 2560 และเพิ่มขึ้นอย่างมากจากกำไรสุทธิ 41ล้านในไตรมาส 3 ปี 2561ส่งผลให้กำไรทั้งปีเท่ากับ 536 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6% จากปี 2560