รูดม่านปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ “การประชุมสุดยอด” หรือ “ซัมมิต” ระหว่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา” กับ “ประธานคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ” ซึ่งครั้งนี้เป็น “ครั้งที่ 2” แล้ว ณ กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามกำหนดการของการประชุมสุดยอด ก็มีเป็นเวลา 2 วัน คือ วันพุธที่ 27 ก.พ. และวันพฤหัสบดีที่ 28 ก.พ. แต่การเจรจาแบบจริงจังอย่างเข้มข้นนั้น มีในวันพฤหัสบดี ส่วนวันพุธก็จะเป็นวันที่สองผู้นำพบปะกันเป็นเวลาสั้นๆ คือ ราว 2 ชั่วโมงเท่านั้น ก่อนรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน ในราว 18.30 น. ที่ “โรงแรมโซฟิเทล เลเจนด์ เมโทรโพล ฮานอย” หลังจากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็เดินทางกลับไปพักที่ “โรงแรมดจ ดับเบิลยู แมริออท” ส่วนประธานคิม จอง-อึน กลับไปพำนักที่ “โรงแรมเมเลีย” ซึ่งทั้ง 3 โรงแรมข้างต้น ถือว่า เป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ที่มีบทบาทสำคัญต่อการซัมมิต ครั้งที่ 2 นัดประวัติศาสตร์หนนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ พบปะกับประธานาธิบดีเหงียน ฟู้จ่อง แห่งเวียดนาม ที่ทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนาม ในกรุงฮานอย ทั้งนี้ ทั้งนั้น ผลการซัมมิต จะสำแดงอิทธิฤทธิ์ เนรมิตกันไปอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่าย คือ สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ จะทำให้บังเกิดอย่างเป็นรูปธรรมกันหรือไม่? ซึ่งประชาคมโลกก็ต้องจับตาจ้องมองกันต่อไป อย่างไรก็ดี ที่ออกอาการเป็นปลื้มยิ่งกว่าชาติใดในการซัมมิตหนนี้ ก็เห็นจะเป็น “เวียดนาม” แดนญวน ที่ได้รับเกียรติ รับหน้าเสื่อเป็น “เจ้าภาพ” จัดการประชุมสุดยอด ให้ประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานคิม จอง-อึน ได้พบปะหารือกัน ซึ่งก็ต้องถือว่า เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ยิ่งของเวียดนามอีกคำรบหนึ่ง การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่ประธานคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ทันทีที่เดินทางมาถึงกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม นอกเหนือจาก ทางการแดนญวน ถือโอกาสอันสำคัญนี้ ได้สาน ได้กระชับความสัมพันธ์ ทั้งต่อสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ให้เป็นไปอย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หลังการพบปะกันระหว่างคณะผู้นำรัฐบาลแห่งเวียดนาม กับประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานคิม จอง-อึน ที่ทำเนียบประธานาธิบดี ในกรุงฮานอย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับสหรัฐ มหาอำนาจพี่เบิ้มใหญ่ ณ ชั่วโมงนี้ ทางการเวียดนามวาดหวังว่า จะช่วยคานอำนาจ ถ่วงดุลอิทธิพลของ “จีนแผ่นดินใหญ่” ที่กำลังสยายปีกกางเขี้ยวเล็บ ในภูมิภาคอุษาคเนย์แห่งนี้กันอย่างขนานใหญ่ ทางด้าน นายเหงียน ซวนฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เปิดใจถึงการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดในประเทศของเขาด้วยว่า หวังใจว่า “ประวัติศาสตร์ของเวียดนาม” ได้เป็น “บทเรียน” ทั้งต่อ “เกาหลีเหนือ” ตามที่หลายฝ่ายคาดหวังกันไปก่อนหน้า รวมไปถึงกระทั่งสหรัฐฯ เองด้วย นายเหงียน ซวนฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม โบกธงชาติสหรัฐฯ ให้การต้อนรับแก่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังเดินทางมาถึงกรุงฮานอย โดยนายกรัฐมนตรีเหงียน ซวนฟุก กล่าวว่า เวียดนามมิได้หวังเป็นเพียงแค่เจ้าภาพจัดซัมมิตเท่านั้น แต่ยังมีความปรารถนาที่ได้เป็น “ตัวอย่าง” ในการแสดงให้เห็นถึงประโยชน์อันเกิดขึ้นจากสันติภาพ และความปรองดอง รวมถึงการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวง ได้พลิกฟื้นเวียดนามที่อดีต ประเทศแห่งนี้ ได้ภินท์พังเพราะสงครามมาก่อน และจากการที่เวียดนามเคยเสียหายมาจากสงคราม ก็ได้กลายเป็นแรงกระตุ้นให้เวียดนาม ดำเนินการพยายามเพื่อให้ได้เป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดครั้งนี้ อันจะเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่จะนำไปสู่ความปรองดอง และการสร้างสันติภาพให้บังเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี ทั้งนี้ ทางเวียดนามก็มีความตระหนักเป็นอย่างดีและลึกซึ้ง ถึงความหมายของคำว่า สันติภาพและความปรองดอง การอุทิศตนเพื่อสันติภาพจึงเป็นความรับผิดชอบของประเทศในยุคนี้ ผู้นำฝ่ายบริหารของเวียดนาม วัย 64 ปี ยังกล่าวอีกด้วยว่า ประชาชนชาวเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของตน ซึ่งเติบโตในยุคสงครามเวียดนาม ที่ประเทศต้องทำสงครามอย่างยาวนานเกือบ 20 ปี กับสหรัฐอเมริกา ก่อนสิ้นสุดในปี 2518 (ค.ศ. 1975) ไม่เคยลืมเลือนอดีต หรือประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ทว่า ก็ไม่ได้จมปลักอยู่กับอดีต จนไม่ได้มองไปยังอนาคต ทุกฝ่ายจะต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อก่อร่างสร้างประเทศขึ้นมาอย่างสันติและแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชน ชาวเวียดนามหลายล้านคนต้องสละชีพในสงครามดังกล่าว เพื่อปกป้องประเทศ พิทักษ์เอกราช อธิปไตย และเสรีภาพ ด้วยเหตุนี้ เวียดนามจึงให้คุณค่าต่อสันติภาพที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพในเอกราชและอธิปไตยของกันและกัน บรรยากาศเศรษฐกิจของเวียดนามในปัจจุบัน ที่มีอัตราการขยายตัวเติบโตร้อนแรงที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงเวียดนาม ณ ปัจจุบัน ก็ต้องถือว่า มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อนแรงที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย รวมไปถึงเติบโตด้านต่างๆ เป็นอย่างมาก พลิกฟื้นจากเดิมที่ประเทศภินท์พังเพราะสงคราม การถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ รวมไปถึงการถูกคว่ำบาตร หรือแซงก์ชัน จากบรรดาชาติมหาอำนาจภายใต้การนำของสหรัฐฯ เมื่อช่วงปลายคริสต์ศตวรรษก่อน จนส่งผลให้เวียดนามเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุดมาแล้ว โดยมีรายงานทางตัวเลขว่า เวียดนามที่เคยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเมื่อปีที่แล้วถึง ร้อยละ 7.1 ทะยานก้าวกระโดดจากเมื่อช่วงปลายของคริสต์ทศวรรษ 1980 ที่เติบโตเพียงร้อยละ 2.8 เท่านั้น ซึ่งเหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า มิใช่แต่เฉพาะเกาหลีเหนือเท่านั้นที่จะเดินตามรอยเวียดนามในการพัฒนาด้านต่างๆ ของประเทศให้ดีขึ้น แม้แต่ประเทศอื่นๆ ก็สามารถใช้เวียดนามเป็นโมเดล พลิกฟื้นสถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายให้ดีขึ้นได้ด้วยเช่นกัน