ECF ตั้งเป้ารายได้โต 15% ปรับกลยุทธ์ดันมาร์จิ้น บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เผยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ออเดอร์ส่งออกทะลัก เดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ จีน อินเดีย พร้อมรับรู้รายได้ธุรกิจพลังงานเพิ่มจากโครงการมินบูในปีนี้ ขณะที่ผลประกอบการปี 61 รายได้รวม 1,504.79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 33.76 ล้านบาท เล็งจ่ายปันผลหุ้นละ 0.030227 บาท นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) ผู้ผลิตและจำหน่าย เฟอร์นิเจอร์ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในปีนี้ ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมโตไม่ต่ำกว่า 15 % รักษาอัตรากำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 4-5 % โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากการขยายตลาดของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งปีนี้จะเห็นการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งบริษัทมีการวางแผนงานเพื่อบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในธุรกิจต่างๆ สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เน้นการกระตุ้นยอดขายในประเทศผ่านแบรนด์ Costa ขยายฐานตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ต่างๆเพิ่มเติม จากปัจจุบันกระจายสินค้าเข้าสู่ร้านค้าปลีก-ส่งเฟอร์นิเจอร์ทั่วประเทศแล้วกว่า 1,500 แห่ง และขยายช่องทางจำหน่ายร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำที่มีการเปิดสาขาใหม่ทั่วประเทศ ขณะที่ตลาดต่างประเทศตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา มียอดคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยในปีนี้จะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆ อาทิ จีน อินเดีย เพราะมองว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อ และสามารถที่จะส่งคำสั่งซื้อได้อย่างต่อเนื่อง บริษัทพยายามรักษาสัดส่วนรายได้จากยอดขายในประเทศอยู่ที่ 53 % และต่างประเทศ อยู่ที่ 47 % ธุรกิจพลังงานทดแทนจะมีการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลขนาด 7.5 เมกะวัตต์ที่นราธิวาสเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 MW มินบู ประเทศเมียนมาร์ การก่อสร้างเฟสแรกมีความคืบหน้าไปมาก คาดว่าจะเริ่ม COD ภายในไม่เกินไตรมาสที่ 2 ปีนี้ สำหรับเฟส 2-3-4 อยู่ระหว่างการปรับแผนงานเพื่อหาทางเร่งการก่อสร้างให้ครบโดยเร็วที่สุดจากแผนเดิมเสร็จปีละ 1 เฟส เพื่อส่งผลดีต่อการรับรู้รายได้ที่จะเร็วขึ้นจากเดิม ส่วนความคืบหน้าการเข้าศึกษาความเป็นไปได้เพื่อลงทุนในธุรกิจใหม่ด้าน IT Solution หลังจากที่บริษัทได้ลงนามร่วมกับ บริษัท เอสเทรค (ประเทศไทย) จำกัด (“S-TREK”) ในบันทึกข้อตกลงเพื่อเข้าศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจร่วมกัน ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ม.ค.62 คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติพิจารณาอนุมัติปรับเงื่อนไขการเข้าลงทุนในหุ้น S-TREK โดยแบ่งการชำระราคาเป็น 2 ส่วน ในมูลค่าลงทุนรวมทั้งหมด 510 ล้านบาท เพื่อให้ได้มาซึ่งหุ้นของ S-TREK ในสัดส่วนร้อยละ 51 ซึ่งเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการอนุมัติเข้าทำรายการพร้อมกับความเห็นการเข้าทำรายการจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ในวันที่ 5 เมษายน 2562 นี้ นายอารักษ์ กล่าวต่อไปถึงผลการดำเนินงานปี 2561 ว่า บริษัทมีรายได้รวมทุกกลุ่มธุรกิจอยู่ที่ 1,504.79 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,477.93 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.82 % และมีรายได้จากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ 1,443.43 ล้านบาท กำไรสุทธิประจำปีปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 52.16% หรือคิดเป็นกำไรเท่ากับ 33.76 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลจากบริษัทอยู่ระหว่างการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ๆเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งธุรกิจเกี่ยวข้องเฟอร์นิเจอร์ ธุรกิจพลังงาน จึงก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเข้าศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างยังไม่สามารถรับรู้รายได้ในเชิงพาณิชย์ขณะนี้ อย่างไรก็ตาม แม้กำไรของบริษัทจะไม่เติบโต แต่คณะกรรมการบริษัทยังคงมีมติอนุมัติประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 0.030227 บาท คิดเป็นจำนวนเงินรวมการจ่ายไม่เกิน 29 ล้านบาท เตรียมเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 พิจารณาอนุมัติต่อไป