กองปราบ จับอดีตตำรวจรถไฟ 157 ก่อเหตุรีดทรัพย์ผัวเมียทั้ง เงิน และทองคำ หลบหนีคดีไปบวช เมื่อวันที่ 27 ก.พ.62 พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. พ.ต.อ.สันติ ชัยนิรามัย พ.ต.อ.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.พัฒนพงศ์ ศรีพิณเพราะ พ.ต.ท.วิญญู แจ่มใส พ.ต.ท.เมฆพิศาล ศรีภิรมย์ รอง ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.เผด็จ งามละม่อม รอง ผกก.ฯ ปฏิบัติราชการ กก.2 บก.ป. นำโดย พ.ต.ท.นฤทธิ์ ผูกจิตร สว.กก.2 บก.ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 4 กก.2 บก.ป. ร่วมจับกุมตัว จ.ส.ต. หรือนายชาญ (หรือพระชาญ สุชาโณ) มีผลกิจ อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12/1หมู่ที่ 1 ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จว.พระนครศรีอยุธยา ตามหมายจับศาลจังหวัดทุ่งสง 295/2552 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2552 ในข้อหาว่า “เป็นเจ้าพนักงานใช้ตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 157 83 ” จับกุมได้ที่บริเวณวัดศรีอุทัย หมู่ที่ 6 ต.บ้านยาง อ.เสาไห้ จว.สระบุรี สืบเนื่องจาก จ.ส.ต.ชาญ หรือนายชาญ มีผลกิจ ขณะรับราชการตำรวจประจำแผนก 2 กองกำกับการ 2 กองตำรวจรถไฟ ได้ร่วมกับสิบตำรวจเอกสุนทร สมาพันธ์ กระทำผิดอาญาฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการโดยเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 52 เวลากลางวัน นายโสพิศ เมฆจันทร์ ได้เดินทางออกจากบ้านเลขที่ 31 หมู่ที่ 5 ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง จว.นครศรีธรรมราช เพื่อเดินทางไปกรุงเทพฯ โดยนั่งโดยสารขบวนรถไฟจากสถานีรถไฟนครศรีธรรมราช ขณะขบวนรถไฟออกจากสถานีรถไฟนครศรีธรรมราช มีผู้หญิงคนหนึ่งมานั่งใกล้ๆ มานั่งเดียวกับนายโสพิศฯ โดยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เมื่อขบวนรถไฟแล่นถึงสถานีรถไฟชุมทางทุ่งสง จ.ส.ต.ชาญ มีผลกิจ และสิบตำรวจเอกสุนทร สมาพันธ์ ได้ขึ้นขบวนรถไฟมาปฏิบัติหน้าที่ และได้ทำการตรวจค้นตัวนายโสพิศฯ เนื่องจากมีพิรุธ แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย จ.ส.ต.ชาญ มีผลกิจ จึงได้ขอตรวจบัตรประจำตัวประชาชน แต่นายโสพิศฯ มิได้นำบัตรประชาชนติดตัวมา จ.ส.ต.ชาญ มีผลกิจ และสิบตำรวจเอก สุนทร สมาพันธ์ จึงได้นำตัวนายโสพิศฯ และผู้หญิงที่นั่งใกล้กันไปที่ตู้เสบียงแล้วข่มขู่กล่าวหาว่าไม่พกบัตรประชาชนติดตัว และนำคนต่างด้าวเข้าเมือง โดย จ.ส.ต. ชาญ มีผลกิจ ใช้มือตบหน้านายโสพิศฯ หลังจากนั้นได้นำตัวนายโสพิศฯ และหญิงคนดังกล่าวไปที่ตู้ทำงานแล้วพูดว่า ถ้าอยากให้เรื่องจบ ให้นำเงินมาบให้ 20,000 บาท แต่นายโสพิศฯ บอกว่าไม่มีเงินจะให้ จ.ส.ต.ชาญ มีผลกิจ ก็ได้ล้วงกระเป๋ากางเกงของนายโสพิศฯ นำเงินออกจากกระเป๋าสตางค์ มีเงินจำนวน 6,6๐๐ บาท เงินประเทศลาว 1 ฉบับ ราคา 1,๐๐๐ กีบ และสร้อยคอทองคำ 2 เส้น น้ำหนัก 2 สลึง 1 เส้น และน้ำหนัก 1 สลึง 1 เส้น แล้ว จ.ส.ต.ชาญ มีผลกิจ และสิบตำรวจเอกสุนทร สมาพันธ์ ได้ยึดเอาเงิน 5,๐๐๐ บาท และสร้อยคอมทองคำ 2 สลึง 1 เส้น พร้อมด้วยเงินลาว 1 ฉบับ ราคา 1,๐๐๐ กีบ เอาไปด้วย และต่อมาได้คืนกระเป๋าสตางค์พร้อมเงิน 1,6๐๐ บาท สร้อยคอทองคำ 1 สลึง 1 เส้น ให้กับนายโสพิศฯ แล้วให้กลับไปนั่งที่นั่งที่ขบวนเดิมพร้อมสั่งว่าหากมีผู้โดยสารอื่นถามก็ให้บอกว่าไม่อะไร มีเรื่องทะเลาะกับภรรยา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเรียกไปว่ากล่าวตักเตือน แล้วไม่ให้บอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครทราบ ต่อมานายโสพิศฯ ได้เข้าร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จนกระทั่งมีการออกหมายจับดังกล่าว ปัจจุบันกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้มีคำสั่งที่ 144/2546 ไล่ จ.ส.ต.ชาญ มีผลกิจ ออกจากราชการแล้วฐานกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ และภายหลังถูกไล่ออกจากราชการได้หลบหนีคดีมาบวชเป็นพระภิกษุ อยู่ที่วัดศรีอุทัย หมู่ที่ 6 ต.บ้านยาง อ.เสาไห้ จ.สระบุรี จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) รวมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 จากการสอบถาม จ.ส.ต. หรือนายชาญ (หรือพระชาญ) มีผลกิจ ให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหา ส่วนคดีซึ่งจะหมดอายุความในเดือน มิ.ย. 62 นี้ จึงนำส่ง สภ.ทุ่งสง ดำเนินคดีต่อไป