ได้ฤกษ์ เบิกม่าน การประชุมสุดยอด หรือซัมมิต รอบสอง ที่ประชาคมโลก ต่างจับตาจ้องมองด้วยความใจจดใจจ่อกันอีกคำรบ
สำหรับ “คิม – ทรัมป์ซัมมิต” คือ การพบปะกันในการระชุมสุดยอดรอบ 2 ระหว่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา” กับ “ประธานคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ” โสมแดง ที่เริ่มเปิดฉากในวันพุธนี้ ถึงวันพฤหัสบดี ตามที่มีกำหนดการในระหว่างวันที่ 27 – 28 ก.พ. ณ กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจากทางการแดนญวน
โดยซัมมิตรอบนี้ที่มีขึ้น ก็ถือได้ว่า ต่อเนื่องมาจากการประชุมสดยอดครั้งประวัติศาสตร์รอบที่แล้ว ที่นับเป็นครั้งแรก ระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานคิม ซึ่งมีขึ้นบนเกาะเซนโตซา ประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงกลางปี 2561 ที่ผ่านมา
กล่าวกันถึงในเรื่องการเดินทางของ “ประธานคิม จอง-อึน” หรือ “คิมน้อย” ก็ต้องถือว่า วิธีการเดินทางมา ก็ไม่มีใครเหมือน และก็ไม่เหมือนใคร เพราะใช้ “รถไฟ” หรือ “ม้าเหล็ก” เป็นพาหนะเดินทาง แทนที่จะใช้ “เครื่องบิน” หรือ “นกเหล็ก” ที่มีความเร็วกว่ากันไปไหนๆ
ก็ต้องนับว่า แตกต่างจากประธานาธิบดีทรัมป์ ตลอดจนผู้นำชาติ ที่เมื่อดินทางไปประชุมยังต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งภายในประเทศตนเอง แต่ระยะทางไกล ก็ใช้เครื่องบิน หรืออย่างน้อย ก็เฮลิคอปเตอร์ เป็นพาหนะ อย่าง ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ใช้เครื่องบิน “แอร์ ฟอร์ซ วัน” นกเหล็กประจำตำแหน่งของเขา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า ตีความจาก “รถไฟ” พาหนะของ “คิมน้อย” ที่เป็น “สีเขียว” ก็เสมือนหนึ่งเป็น “ช่อมะกอกเขียว” อันหมายถึง “มิตรภาพ” ที่ “ประธานคิม” ส่งสัญญาณหยิบยื่นทอดไมตรีต่อคู่เจรจาของเขา คือ “ประธานาธิบดีทรัมป์” ตลอดจนประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กับการประชุมสุดยอด หรือซัมมิตนัดประวัติศาสตร์รอบสอง ในครั้งนี้
ไม่ว่าจะเป็น “เกาหลีใต้” โสมขาว ชาติคู่ปรปักษ์สงคราม อันสืบเนื่องยาวนานเกือบๆ 7 ทศวรรษ ภายใต้ชื่อ “สงครามเกาหลี”
และ “จีนแผ่นดินใหญ่” ในฐานะพี่เบิ้มใหญ่ ตั้งแต่ เกาหลีเหนือ โสมแดง ก่อกำเนิดเกิดเป็นประเทศ
พ่วงท้ายไปถึง “เวียดนาม” ชาติที่รับหน้าเสื่อเป็น “เจ้าภาพจัดการซัมมิต” หนนี้ ที่เหล่านักวิเคราะห์ มองว่า “ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ” ที่เมื่อไหนๆ มาถึงถิ่นชาวญวนแห่งนี้แล้ว ก็จะถือโอกาสสานสร้างสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในด้านต่างๆ กับ “ทางการฮานอย” คือ “รัฐบาลเวียดนาม” กันเสียทีเดียวเสร็จสรรพ นอกเหนือจากการประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว
จะเรียกว่า เข้าทำนอง “ยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกหลายตัว” ก็ว่าได้
ทางด้าน บรรดาผู้นำชาติที่เกี่ยวข้อง มีความคิดเห็นกันอย่างไรในฉากการซัมมิตนัดประวัติศาสตร์อีกครั้งที่กำลังจะมีขึ้นกันนั้น ส่วนใหญ่ต่างก็ “คิดบวก” กันแทบจะถ้วนหน้า
อย่าง “เกาหลีใต้” ถิ่น “โสมขาว” ชาติคู่สงครามของเกาหลีเหนือ โสมแดง ปรากฏว่า ประชาชนชาวเกาหลีใต้ จำนวนถึงร้อยละ 62.5 หรือคิดเป็น 6 ใน 10 ของชาวโสมขาว เห็นว่า การประชุมสุดยอดรอบ 2 อาจส่งผลให้มี “การประกาศยุติสงครามเกาหลี” ที่สองชาติเกาหลีอยู่ในสภาวะประจันหน้ากัน ในฐานะ “คู่สงคราม” มาอย่างยาวนาน ถึงเกือบ 7 ทศวรรษ ตั้งแต่หยุดยิงระหว่างกันเมื่อปี 2496 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ หาก “สงครามเกาหลี” ที่มีมาอย่างยาวนานยุติอย่างเป็นทางการลงได้ ก็หมายถึงว่า สันติภาพได้บังเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี หรือคาบสมุทรโสมแล้ว พร้อมกันนั้น ประชาชาวถิ่นโสมขาว ก็ยังตั้งความหวัง ปรารถนาอย่างแรงกล้าว่า เกาหลีเหนือ โสมแดง คู่ปรปักษ์ร่วมสายเลือดเกาหลีด้วยกัน จะปลดอาวุธนิวเคลียร์ และปิดฉากโครงการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยทำการต่างๆ ไปอย่างสิ้นเชิงในอนาคตอีกด้วย
ขณะที่ ในส่วนของ “ประธานาธิบดีทรัมป์” ในฐานะคุ่เจรจา ก็ “โปรยยาหอม” กันแบบ “ขวดใหญ่ๆ” ใส่ “ประธานคิม” จนหอมตลบอบอวลกันให้รึ่มแบบข้ามทวีปกันทีเดียวเชียวว่า เกาหลีเหนือจะกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ของโลก หากปลดอาวุธนิวเคลียร์ลงไปเสียได้
โดยประธานาธิบดีทรัมป์ โปรยยาหอมซ้ำเน้นย้ำว่า เกาหลีเหนือนั้นมีศักยภาพมากพอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตยิ่งกว่าที่ใดๆ เพียงแต่ขอให้ละเลิกโครงการพัฒนาอาวุธมหาประลัยข้างต้น
อย่างไรก็ดี บรรดานักวิเคราะห์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับบิ๊กของทางการสหรัฐฯ เอง อย่าง “นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ” ได้แสดงทรรศนะว่า สถานการณ์ที่ว่าจะดำเนินไปถึงขั้นนั้นได้ ก็คงต้องดำเนินการเจรจาในเวทีการประชุมสุดยอด หรือซัมมิตกันอีก โดยการหารือกันในครั้งต่อๆ ไป ก็ควรจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้ด้วย เพื่อให้บรรลุฝั่งฝันแห่งสันติภาพอย่างแท้จริงตามที่โลกได้วาดหวังกันไว้