วันนี้ (25 กุมภาพันธ์ 2562) ณ ห้องประชุมกระทรวงพลังงาน ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ อาคารบี ดร. ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจปิโตรเลียมในอ่าวไทยหมายเลข G1/61 (แหล่งเอราวัณ) กับ บริษัท ปตท.สผ.เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัด และ สัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจปิโตรเลียมในอ่าวไทยหมายเลข G2/61 (แหล่งบงกช) กับ บริษัท ปตท.สผ.เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด การลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจปิโตรเลียมในอ่าวไทยทั้ง 2 ฉบับ ในวันนี้ สืบเนื่องจากตลอดระยะเวลาเวลาเกือบ 40 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเอราวัณและแหล่งบงกชในอ่าวไทย ในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานมาตั้งแต่เริ่มมีการผลิตในปี พ.ศ. 2524 ซึ่งสัญญาสัมปทานสำหรับการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของทั้งสองแหล่งกำลังจะสิ้นอายุลงในปี พ.ศ. 2565 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) จึงได้มอบหมายให้ กระทรวงพลังงาน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ดำเนินการเปิดประมูลสิทธิการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในทั้ง 2 แปลง เพื่อให้มีการผลิตก๊าซธรรมชาติในปริมาณมากพอตามความต้องการใช้อย่างต่อเนื่องภายใต้เงื่อนไขที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จึงได้ดำเนินการเปิดประมูลสิทธิการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้ง 2 แปลง เป็นการทั่วไป ด้วยการออกหนังสือเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมประมูลภายใต้ระบบแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract: PSC) เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 ซึ่งได้มีผู้เข้าร่วมประมูลจากหลายประเทศทั้งในแถบยุโรป สหรัฐฯ จีน ไทย และประเทศในแถบตะวันออกกลาง แต่เนื่องจากแหล่งเอราวัณ-บงกช มีความซับซ้อน เมื่อถึงกำหนดการยื่นซองเอกสารประมูล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561 จึงมีเพียงผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้รับสัมปทานรายเดิม 2 กลุ่ม ที่มีความชำนาญและมีความมั่นใจว่าจะสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้อย่างต่อเนื่องและในปริมาณตามเงื่อนไขของการประมูลได้ ประกอบด้วย แปลงสำรวจหมายเลข G1/61 (แหล่งเอราวัณ) กลุ่มบริษัท Chevron Thailand Holdings Ltd. ร่วมกับบริษัท มิตซุย ออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น คัมปะนี ลิมิเต็ด กลุ่มบริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ร่วมกับบริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัด แปลงสำรวจหมายเลข G2/61 (แหล่งบงกช) กลุ่มบริษัท Chevron Thailand Holdings Ltd. ร่วมกับบริษัท มิตซุย ออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น คัมปะนี ลิมิเต็ด กลุ่มบริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เป็นผู้ยื่นเอกสารข้อเสนอตามเงื่อนไขของการประมูล คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561 จึงได้มีมติตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงานโดยคำแนะนำของคณะกรรมการปิโตรเลียม อนุมัติให้ - บริษัท ปตท.สผ.เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตในแปลงสำรวจหมายเลข G1/61 (แหล่งเอราวัณ) - บริษัท ปตท.สผ.เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต ในแปลงสำรวจหมายเลข G2/61 (แหล่งบงกช) ในการประมูลดังกล่าว ได้กำหนดให้ผูกพันปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติขั้นต่ำสำหรับ 10 ปีแรกของระยะเวลาการผลิต ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สำหรับแหล่งเอราวัณ และ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สำหรับแหล่งบงกช และกำหนดให้ข้อเสนอราคาขายก๊าซธรรมชาติเป็นเกณฑ์หลักในการคัดเลือกผู้รับสิทธิฯ และให้ข้อเสนออัตราส่วนแบ่งผลผลิตจากกำไรให้รัฐเป็นเกณฑ์รอง โดยมีรายละเอียดของข้อเสนอดังในตารางแนบ ผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตทั้ง 2 แปลง ได้เสนอราคาค่าคงที่สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติที่ 116 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาปัจจุบันของทั้ง 2 แปลง (ดังแสดงในกราฟแนบ) นับเป็นจุดเริ่มต้นของฐานพลังงานใหม่โดยจะทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติลดลงจากเดิมในราคาประมาณ 6 - 7 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู มาอยู่ที่ประมาณ 4 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู และราคาก๊าซธรรมชาติที่ถูกลงยังทำให้ค่าไฟลดลงประมาณ 15-20 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมที่ราคา 3.6 บาทต่อหน่วย ลดลงมาอยู่ที่ 3.4 บาทต่อหน่วย ด้วย นอกจากนั้น โรงแยกก๊าซธรรมชาติในประเทศยังได้รับก๊าซธรรมชาติในปริมาณเพียงพอกับการนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ในการผลิตเป็นก๊าซ LPG และวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในราคาต้นทุนที่แข่งขันได้ อีกทั้งผลจากการที่มีการผลิตก๊าซธรรมชาติในปริมาณที่มากพอที่จะเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศในราคาที่ไม่แพงได้เป็นพื้นฐานในการเพิ่มสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติในแผน PDP 2018 จาก 30% เป็น 53% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ตลอดทุกขั้นตอนของการเปิดประมูลสิทธิการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในทั้ง 2 แปลง ตั้งแต่การออกประกาศเชิญชวน การยื่นซอง การเปิดซอง การพิจารณาผล จนกระทั่งการประกาศผลผู้ชนะการประมูล กระทรวงพลังงาน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ดำเนินการตามหลักมาตรฐานสากล มุ่งเน้นความโปร่งใส ชัดเจน และเปิดเผยต่อสื่อมวลและสาธารณชนมาโดยตลอด โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นสำคัญ การลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิตระหว่างกระทรวงพลังงานกับผู้ที่ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยทั้ง 2 แปลง ในวันนี้ จะสามารถเป็นหลักประกันว่าประเทศไทยและประชาชนจะมีก๊าซธรรมชาติจากแหล่งปิโตรเลียมในประเทศใช้อย่างต่อเนื่องในราคาที่ไม่แพง รวมทั้งจะสามารถสร้างเสถียรภาพด้านพลังงาน เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศให้แข็งแกร่งต่อไป รายชื่อผู้ลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิตในส่วนของภาครัฐผู้ให้สัญญาฯ 1. นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 2. นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะพยาน 3. นางเปรมฤทัย วินัยแพทย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในฐานะพยาน ในส่วนของผู้รับสัญญาฯ สำหรับแปลงสำรวจปิโตรเลียม G1/61 (แหล่งเอราวัณ) 1. นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้มีอำนาจลงนาม 2. นายราเช็ด อับดุลนาบิ กูลัม ราโซว อัลบลูชิ กรรมการบริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้มีอำนาจลงนาม 3. นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในฐานะพยาน 4. นายนาเซอร์ อาลี นาเซอร์ อาลี อัลฮาจรีผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ – ฝ่ายปฏิบัติการ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) ในฐานะพยาน สำหรับแปลงสำรวจปิโตรเลียม G2/61 (แหล่งบงกช) 1. นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้มีอำนาจลงนาม 2. นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในฐานะพยาน 3. นายวุฒิพล ท้วมภูมิงาม ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มงานโครงการผลิตและบริหารซัพพลายเชน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในฐานะพยาน