คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
การประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ นับเป็นฉากดราม่านอกกรอบอีกหนึ่งบทบาทตามแบบฉบับของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
เรื่องที่เราๆท่านๆต่างก็ทราบกันดีจนเกือบจะเป็นเรื่องธรรมดาๆไปแล้วก็คือ ไม่ว่าจะประเทศใดหรือสังคมใดก็ตาม การเมืองคือเรื่องของผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องโยงใยกับอำนาจและเม็ดเงิน!!!
อนึ่งหากเราจะทำความเข้าใจต่อพฤติกรรมลึกๆของประธานาธิบดีทรัมป์ เราก็จะต้องย้อนกลับไปขุดถึงต้นตอในอดีตของเขาให้ลึกมากที่สุดเท่าที่ทำได้
พฤติกรรมอันมีเล่ห์เหลี่ยมแสนแพรวพราวที่จะหยิบยกมาสักหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้เด่นชัด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เขายังเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง โดนัลด์ ทรัมป์ ก็คือเจ้าของทีมอเมริกันฟุตบอลที่มีชื่อว่า "New Jersey Generals" สังกัดอยู่ในสโมสรอเมริกันฟุตบอล United States Football League ที่มีทีมอยู่ในสังกัด 12 ทีม
โดยทีมของเขาเริ่มลงแข่งขันในปี 1984 เพื่อหวังจะคว่ำสโมสรอเมริกันฟุตบอล "National Football League" หรือที่เรียกกันย่อๆว่า NFL ซึ่งเป็นสโมสรเก่าแก่มีอายุเกือบร้อยปีที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1920 โดยขณะนี้มีทีมอยู่ในสังกัดทั้งหมด 32 ทีม
อนึ่งกีฬาอเมริกันฟุตบอลนับเป็นอุตสาหกรรมด้านการบันเทิงที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งผมเองก็เป็นผู้หนึ่งที่พลอยหลงใหลได้ปลื้มไปกับเขาด้วยตั้งแต่สมัยเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย โดยเมื่อใดก็ตามที่มีการแข่งขันในสนามอเมริกันฟุตบอลของมหาวิทยาลัยที่ผมศึกษาอยู่ ซึ่งมีขนาดใหญ่สามารถจุคนได้กว่าเจ็ดหมื่นคน ผมจะไม่ยอมพลาดโดยเด็ดขาด เพราะมันช่างเป็นบรรยากาศที่แสนจะตื่นเต้นมีเสียงอึกกระทึกคึกโครมดังเร้าใจอยู่ตลอดเวลา
และผมยังจำได้เป็นอย่างดีเมื่อครั้งที่ผมเรียนจบและมีหน้าที่การงานแล้ว ซึ่งขณะนั้นหนุ่มโดนัลด์ ทรัมป์ มีทีมอเมริกันฟุตบอลที่ชื่อย่อว่า “Generals” ที่ยกพลไปเล่นที่ Los Angeles Coliseum และถึงแม้ว่าผมไม่มีเพื่อนจะต้องโดดเดี่ยวไปเพียงคนเดียว แต่ผมก็ยังอุตส่าห์ถ่อสังขารไปดู!!!
อย่างไรก็ตามปรากฏว่าขณะนั้นสโมสรของหนุ่มโดนัลด์ ทรัมป์ไม่สามารถเข้าไปเป็นสมาชิกของสโมสรอเมริกันฟุตบอล NFL ได้ ทำให้เขาผูกใจเจ็บมาตลอด จนกระทั่งปี 1986 เขาออกมาเป็นแกนนำยื่นฟ้องสโมสร NFL โดยอ้างว่า สโมสรแห่งนี้เป็นมาเฟียผูกขาดกับตลาด แถมยังใช้สิทธิ์ในการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์แต่เพียงผู้เดียว โดยครั้งนั้นโดนัลด์ ทรัมป์เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 1.7 พันล้านเหรียญ
ในที่สุดศาลได้สั่งให้สโมสร NFL จ่ายค่าทนายให้แก่กลุ่มของหนุ่มทรัมป์เป็นเงิน 5 ล้านห้าแสนเหรียญ และให้จ่ายค่าเสียหายเพียงแค่หนึ่งเหรียญ!!!
อนึ่งหนุ่มทรัมป์ก็ได้อ้างว่า ตนเป็นฝ่ายชนะคดีแต่เหตุไฉนจึงไม่ได้ค่าตอบแทน 1.7 พันล้านเหรียญตามที่เขาร้องขอต่อศาล แต่อย่างไรก็ตามข่าวการตัดสินของศาลในครั้งนั้นกลับกลายเป็นผลดีในแง่ประชาสัมพันธ์ให้แก่เขา เนื่องจากคนทั่วไปให้ความนิยมชมชอบในความกล้าบ้าบิ่นของเขาที่กล้าไปต่อกรกับสโมสรค่ายยักษ์ใหญ่ เปรียบเสมือนเดวิดกล้าหาญชาญชัยไปสู้กับโกไลแอต หรือเหมือนดั่งนิทานเรื่องแจ๊คตัวเล็กๆที่สามารถฆ่ายักษ์ใหญ่ได้
คราวนี้ย้อนกลับมาพูดถึงเรื่องการคิดนอกกรอบของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ โดยเขาได้ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อต้องการจะเอาเงินจากงบของกระทรวงการคลัง 600 ล้านเหรียญ จากงบทหาร 6.1 พันล้านเหรียญ เพื่อนำไปสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับแม็กซิโกให้จงได้
และเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้ได้มีรัฐต่างๆถึง 16 รัฐ อันได้แก่ รัฐแคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ก โคโลราโด คอนเนคติคัท เดลาแวร์ ฮาวาย อิลลินอยส์ เมน แมริแลนด์ มิชิแกน มิเนสโซตา เนวาดา นิวเจอร์ซีย์ นิวแม็กซิโก ออริกอน และเวอร์จิเนีย ได้ออกมายื่นฟ้องต่อศาลกลาง ณ นครซานฟรานซิสโก โดยอ้างว่าประธานาธิบดีทรัมป์ไม่มีสิทธิ์ที่จะผันเงินจากหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลไปสร้างกำแพง และยังอ้างว่า สภาคองเกรสต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายควบคุมการใช้จ่าย
ล่าสุดเมื่อวันอังคารนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าว ณ ทำเนียบขาว โดยเขาชี้ว่า "การประกาศภาวะฉุกเฉินในครั้งนี้ เป็นสิทธิพิเศษของประธานาธิบดี" และยังได้เอ่ยปากอธิบายอีกว่า " ข้าพเจ้ามิได้รู้สึกกังวลใดๆทั้งสิ้น เพราะในที่สุดข้าพเจ้าก็คือฝ่ายที่จะชนะคดี"
ทั้งนี้คดีนี้กำลังจะกลายเป็นสงครามสาธารณะ (Public War) ที่ต่างฝ่ายต่างโจมตีใส่กัน โดยต่างอ้างว่าตนเป็นฝ่ายถูก
เกี่ยวกับการประกาศภาวะฉุกเฉินในครั้งนี้ มีผลทำให้ค่ายพรรครีพับลิกันเกิดความแตกแยกแบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ซึ่งวุฒิสมาชิกรอน จอห์นสัน จากรัฐวิสคอนซินได้ออกมาเปิดใจให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีว่า "รู้สึกกังวลและอึดอัดใจ"
ส่วนมร.วิล เฮอร์ด สมาชิกผู้แทนราษฎรจากรัฐเท็กซัสก็ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ “Face the Nation” ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสด้วยเช่นกันว่า "เห็นด้วยกับการสร้างกำแพง แต่ไม่เห็นด้วยต่อการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพราะมิได้เป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริง"
อย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ได้อธิบายว่า สภาคองเกรสมีสิทธิ์ที่จะบล็อคยุติการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งนี้ และประธานาธิบดีทรัมป์ก็มีสิทธิ์ที่จะวีโต้ และหากเป็นเช่นนั้นสภาคองเกรสก็มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งวีโต้ของประธานาธิบดีได้เช่นกันแต่จะต้องมีเสียงสองในสามของสภาคองเกรส!!!
และอย่าลืมว่าขณะนี้ในสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมากเหนือพรรครีพับลิกัน 235 ต่อ 197 เสียง
แต่ในวุฒิสภาพรรครีพับลิกันก็มีเสียงข้างมากเหนือพรรคเดโมแครต 53 ต่อ 47 ที่นั่ง เท่ากับว่าหากวุฒิสมาชิกของค่ายพรรครีพับลิกันเพียงสี่เสียงไม่เห็นด้วยกับการประกาศภาวะฉุกเฉิน และจากการนับหัวคะแนนของสำนักหยั่งเสียง “FiveThirtyEight” ที่ออกมาระบุว่า ขณะนี้มีวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันถึง 8 เสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการประกาศภาวะฉุกเฉินของประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งนี้อันได้แก่ วุฒิสมาชิกลามาร์ อเล็กซานเดอร์ วุฒิสมาชิกซูซาน คอลลินส์ วุฒิสมาชิกลิซา เมอร์คาวสกี วุฒิสมาชิกแรนด์ พอล วุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ วุฒิสมาชิกเบน แซสซี วุฒิสมาชิกทอม ทิลลิสและวุฒิสมาชิกแพท ทูมเมย์ โดยวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันกลุ่มนี้ต่างคิดว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และอาจจะเป็นช่องโหว่เปิดทางให้พรรคเดโมแครตกระทำเช่นเดียวกันในอนาคตก็เป็นได้!!!
ในประเด็นนี้อาจจะกลายเป็นฉนวนให้เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งใหม่ระหว่างสภาคองเกรสกับประธานาธิบดีทรัมป์ และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆก็คงจะกลายเป็นเกมที่ลากยาวต่อเนื่องไม่จบง่ายๆอย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามล่าสุดนี้มีข่าวรั่วเล็ดรอดออกมาจากทำเนียบขาวว่า "แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะถูกฟ้องร้องก็ตาม แต่เขาก็จะไม่หยุด แถมจะสั่งการให้มีการสร้างกำแพงในทันที"
กล่าวโดยสรุปขณะนี้ปรอทการเมืองของสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในขั้นร้อนจนเกือบทะลุอยู่หลายๆประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการประกาศภาวะฉุกเฉินของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ถูก 16 รัฐผนึกพลังรวมตัวประกาศฟ้องร้องโดยมีสภาคองเกรสอาจจะเข้าร่วมฟ้องด้วยเช่นกัน และยังมีเรื่องผลสรุปรายงานการสืบสวนคดีรัสเซียของอัยการพิเศษโรเบิร์ต มูลเลอร์ ที่กำลังตามมาติดๆเป็นคลื่นระลอกใหญ่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องร้อนๆทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีทรัมป์คงจะต้องออกมาสู้แบบยิบตาไม่ยอมถอยทำตัวเหมือนหมูไม่กลัวน้ำร้อนจะลวกตัวจนไหม้พองละครับ