เมื่อเวลา 18.30 น. วันนี้ (21 ก.พ.62) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) และในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปฉช.ตร.) พร้อมคณะฯ ได้เดินทางมาแถลงผลการจับกุมเต็นท์รถรายใหญ่ ที่ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ หลังเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน ร่วมกับกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว ชุดสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ชุดสืบสวน สภ.สตึก และฝ่ายปกครองอำเภอสตึกกว่า 100 นาย ได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นจับกุมเต็นท์รถแห่งหนึ่งใน อ.สตึก โดยได้ทำการอายัดรถยนต์กว่า 200 คัน และจับกุมผู้ต้องหา 4 ราย ยึดทรัพย์กว่า 200 ล้านบาท หลังจากได้มีประชาชนผู้เสียหายหลายราย เข้าร้องเรียนศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินประชาชน ว่าถูกเต็นท์รถดังกล่าวหลอกลวงฉ้อโกงสูญทั้งรถทั้งเงิน แถมยังถูกบริษัทไฟแนนซ์ฟ้องร้องบังคับคดีทางแพ่ง ถูกยึดบ้าน ยึดรถ เดือดร้อนมานานหลายปี โดยขณะที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ พร้อมคณะ เดินทางมาแถลงข่าว ก็ได้มีประชาชนผู้เสียหายจำนวนมาก นำดอกไม้มามอบเพื่อแสดงความขอบคุณ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และคณะ ที่มาให้ความช่วยเหลือเพราะที่ผ่านมาเคยร้องเรียนหลายหน่วยงาน และแจ้งความตำรวจ แต่เรื่องก็เงียบหาย แต่ครั้งนี้มีความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่าเต็นท์รถดังกล่าวเปิดดำเนินการมานานกว่า 20 ปีหลอกลวงฉ้อโกงประชาชนหลายร้อยราย มีเงินหมุนเวียนปีละ 200 – 300 ล้านบาท โดยวิธีการของเต็นท์รถดังกล่าวจะเปิดเป็น หจก.เพื่อรับซื้อรถ 2 ประเภท คือ รถที่อยู่ในไฟแนนซ์ และไม่ได้ติดไฟแนนซ์ โดยรถที่ไม่ได้อยู่ในไฟแนนซ์ก็บอกว่าจะให้ราคาสูงเพื่อจูงใจ แต่เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อนำรถมาขาแล้วก็จ่ายเงินไม่ครบ เมื่อผู้เสียหายมาขอรถคืนก็ไม่ให้แต่กลับเอารถไปจำหน่ายอีกทอดหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นการฉ้อโกง อีกวิธีการคือ เจ้าของรถที่ยังติดไฟแนนซ์นำรถมาขาย ก็เสนอราคาให้สูงเมื่อผู้เสียหายตกลงขาย เต็นท์ก็รับปากจะผ่อนต่อให้แต่กลับนำรถไปขายต่อโดยที่ไม่ส่งไฟแนนซ์ให้ตามที่รับปาก ทำให้ชาวบ้านต้องเสียทั้งรถ และต้องมาผ่อนกระดาษเปล่าอีก ทั้งยังถูกฟ้องร้องคดีแพ่งอีก ปัญหาที่เกิดขึ้นความรู้ไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกง ทั้งไม่มีใครให้คำแนะนำปรึกษาจึงทำให้มีคนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก หลังจากได้รับเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน ก็ได้บูรณาการกันหลายฝ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเดิมทางเต็นท์พยายามจะให้เป็นคดีแพ่ง แต่เมื่อเชื่อมโยงข้อมูลการสอบสวนเข้าด้วยกัน ซึ่งพฤติการณ์เป็นการกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ถือเป็นความผิดคดีอาญาชัดเจนในลักษณะร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และเข้าข่ายกระทำผิดฐานฟอกเงิน จึงนำมาซึ่งการขออนุมติหมายศาลจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คน คือเจ้าของเต็นท์รถสามี ภรรยา และลูกน้องที่ทำหน้าที่คอยรับซื้อขายแลกเปลี่ยนรถ ทั้งนี้ ยังได้ยึดทำการทรัพย์อีกกว่า 200 ล้านบาทด้วย พร้อมยืนยันว่า คดีดังกล่าวจะไม่เงียบหายไป และถึงแม้จะใช้กฎหมายยึดทรัพย์สินผู้ต้องหาเพื่อมาจ่ายคืนให้กับผู้เสียหาย ก็เป็นเพียงแค่การบรรเทาโทษเท่านั้น แต่คดีอาญาก็ยังคงดำเนินต่อไป