“NER” โชว์งบปี 61 กำไรเพิ่มขึ้น 117.05% ปันผล 0.13 บาท/หุ้น​ ตั้งเป้าปี 62 โต 20% ย้ำระดมทุนสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ประกาศงบปี 2561 รายได้รวม 10,084.01 ล้านบาท กำไรสุทธิ 486.46 ล้านบาท เพิ่ม 2.14% และ 117.05% จากงวดเดียวกันปีก่อน พร้อมจ่ายปันผล 0.13 บาท/หุ้น กำหนดจ่าย 16 พ.ค.นี้ จากประสิทธิภาพในการผลิตได้ดีขึ้น ราคาซื้อวัตถุดิบยางและต้นทุนผลิตที่ลดลง สำหรับเป้าหมายปี 2562 รายได้จะเติบโตขึ้น 20% จากความต้องการยางในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น พร้อมเจรจาลูกค้ารายใหม่รุกขยายตลาดเอเชีย – ยุโรปมากขึ้น นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางพาราธรรมชาติแปรรูป เปิดเผยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 1/2562 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.13 บาท/หุ้น รวมเป็นเงิน 202.2 ล้านบาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิของงบการเงินปี 2561 ที่บริษัทมีรายได้ปี 2561 อยู่ที่ 10,084.01 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิ 486.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.14% และ 117.05% ตามลำดับจากงวดเดียวกันปี 2560 ที่มีรายได้รวม 9,872.70 ล้านบาท กำไรสุทธิ 224.12 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 และกำหนดจ่ายปันผลวันที่ 16 พฤษภาคม 2562 โดยสาเหตุที่บริษัทฯมีผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนยอดขายที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับต้นทุนคงที่ ในส่วนของต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทพบว่าสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบต่อรายได้จากการขายของบริษัทมีสัดส่วนลดลงเมื่อเทียบกับปี 2560 เนื่องจากราคาซื้อวัตถุดิบเฉลี่ยลดลงในสัดส่วนที่มากกว่าราคาขายเฉลี่ยของบริษัท ส่งผลให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น ประกอบกับเมื่อพิจารณาอัตรากำไรแยกตามประเภทสินค้าพบว่าอัตรากำไรขั้นต้นของยางแท่งและยางผสมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 จากต้นทุนขายที่ลดลง ประกอบกับบริษัทสามารถผลิตและจำหน่ายยางผสมได้มากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต นอกจากนี้บริษัทมีสัดส่วนต้นทุนทางการเงินลดลง ในส่วนของดอกเบี้ยจ่ายเงินกู้ยืมประเภทตั๋วสัญญาใช้เงินและดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระยะยาว เนื่องจากบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนจากการระดมทุนมาใช้ในการบริหารจัดการสภาพคล่องมากขึ้น สำหรับแผนงานปี 2562 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ที่ 20% ภายใต้คาดการณ์ปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ยางพาราแปรรูปเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 แสนตัน จากปีนี้ 2.2 แสนตัน ตามความต้องการยางในตลาดโลกจะเติบโตตามปกติในแต่ละปีราว 2-5% โดยบริษัทเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเจรจากับลูกค้าจีน 3 รายที่คาดว่าจะมีคำสั่งซื้อรวมกันราว 1.5 หมื่นตัน/ปี และวางแผนขยายตลาดลูกค้าสิงคโปร์เพิ่ม โดยปัจจุบันบริษัทมีการทำสัญญาระยะยาว (Long Term Contact) กับลูกค้าไปแล้วกว่า 11 ราย จากที่มีอยู่ 8 ราย ทำให้บริษัทมีลูกค้าที่รอรับรู้รายได้ที่แน่นอนส่วนหนึ่งแล้ว นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างยื่นขอให้ผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ของยุโรป 3 ราย เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบมาตรฐานการผลิตของโรงงานและผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นใบเบิกทางสำหรับการรุกเปิดตลาดส่งออกไปยังยุโรปเพิ่มขึ้น หลังจากที่ผ่านมาบริษัทได้ผ่านการรับรองมาตรฐานจากบริดจสโตนทำให้บริษัทสามารถส่งออกสินค้าไปขายในจีนและภูมิภาคเอเชียได้ดี คาดว่าการตรวจสอบและขั้นตอนต่าง ๆ น่าจะใช้เวลาราว 1 ปี หรือรู้ผลในปี 63 ซึ่งทันเวลารองรับปริมาณผลผลิตที่จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 63 บริษัทจะมีกำลังการผลิตยางเพิ่มขึ้นอีก 60,000 ตัน/ปี เป็นยางแผ่นผสม (RSS Mixtures Rubber) จาก 232,000 ตัน/ปี ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดย ส่วนสิ้นปี2562 ก็จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอีก 172,800 ตันต่อปี หลังจากโรงงานใหม่ผลิตยางแท่ง (STR20) และยางผสม (Mixtures Rubber) แล้วเสร็จ เมื่อรวมทั้งสองส่วนจะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตยางพาราแปรรูปเพิ่มขึ้นเป็น 465,600 ตันต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้ปี 2563 รับรู้รายได้เพิ่มขึ้น ในขณะที่บริษัทเน้นการสร้างเสถียรภาพของผลการดำเนินงานไม่ให้ผันผวนตามธรรมชาติของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ด้วยการซื้อสินค้าจริงมาทำมาผลิตเพื่อส่งมอบตามคำสั่งซื้อ ไม่มีนโยบายเก็งกำไรจากสต็อก พร้อมทั้งรักษาสมดุลของฐานลูกค้าเพื่อบริหารความเสี่ยง