อยู่ในช่วงปิดฤดูกาลของ ไทยพรีเมียร์ลีก และอยู่ในช่วงที่ทีมชาติไทยกำลังมีภากิจชิงแชมป์อาเซียน ซึ่งใกล้ถึงจุดสำเร็จที่จะคว้าแชมป์ เพราะเหลือเพียง 2 เกมนัดชิงชนะเลิศกับ อินโดนีเซีย ในเกมวันที่ 14 และ 17 ธ.ค. นี้เท่านั้น แต่สโมสรในไทยลีกไม่ได้หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นแชมป์เก่า “กิเลนผยอง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่เริ่มขยับเสริมทัพเพื่อลงป้องกันแชมป์ไทยลีกในปี 2017 และเตรียมความพร้อมสำหรับการลุยศึก เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มด้วย โดยตอนนี้มีการเสริมทัพแล้ว 4 ราย รายล่าสุด ศุภนันท์ บุรีรัตน์ แบ็กขวาดาวรุ่ง, มงคล ทศไกร หัวหอกทีมชาติไทยมาในรูปแบบยืมตัว, ศนุกรานต์ ถิ่นจอม และวงศกร ชัยกุลเทวินทร์ ถูกเรียกกลับมาช่วยทีมจากสัญญายืมตัว ส่วนทีม “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ผู้ท้าชิงทีมสำคัญ ที่ประกาศกร้าวขอกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ กวาดทุกแชมป์ที่ลงเล่นในปี 2017 ส่วนเรื่องการเสริมทัพ “บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรจากภาคอีสาน ออกมายืนยันว่าจะไม่เสริมทัพ เพราะมั่นใจว่าขุมกำลังที่มีอยู่เพียงพอแล้ว เนื่องจากผู้เล่นที่บาดเจ็บจากฤดูกาลก่อน กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่น่าจับตามอง เมื่อมีข่าวว่าทีมระดับตำนานอย่าง “มังกรไฟ” บีอีซี เทโรศาสน ขายทีมให้กับกลุ่มทุนจากจังหวัดอุดรธานี ไปเป็นที่เรียบร้อย เช่นเดียวกับ “พลังเอ็ม” ซูเปอร์พาวเวอร์ ที่มีข่าวว่า กลุ่มทุนจากสมุทรสาคร เข้าเทกโอเวอร์ ไม่รวมทีมที่ทุ่มเม็ดเงินสร้างทีมเป็น “เจ้าบุญทุ่ม” รายใหม่ของไทยลีก อย่าง “กว่างโซ้งมหาภัย” เชียงราย ยูไนเต็ด ที่ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลปรับโฉมทีมเชียงราย และดูดแข้งดังเข้าเสริมทีมมากมาย พร้อมตั้งเป้าหมายติดอันดับลุยถ้วยเอเชียให้ได้อีกดด้วย ถือเป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า ต้องการเปิดศึกแย่งแชมป์ไทยลีกกับสองยักษ์ใหญ่ เมืองทอง และบุรีรัมย์ อย่างชัดเจน ความสนุกของไทยลีกในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้าจะมีมากขึ้น ตามนโยบายของสมาคมกีฬาฟุตบอล ที่จะมีการปรับลดทีมจาก 18 ให้เหลือ 16 ทีม แน่นอนว่าจะทำให้การจัดการการแข่งขันที่ดีขึ้น รวมไปถึงความเข้มข้นในการขับเคี่ยวของทีมในลีกสูงสุด ที่จะเหลือแต่ทีมที่แข็งจริง แกร่งจริง และจะสนุกขึ้น มองระยะยาว การที่ปรับทีมให้ลดลงนั้น ส่งผลดีต่อวงการฟุตบอล เพราะเมื่อโปรแกรมลีกลดลง จะทำให้มีช่วงเวลาสำหรับการเตรียมทีมชาติได้มากขึ้น โดยไม่ต้องกระทบกับโปรแกรมลีก อย่างที่เป็นในยุคปัจจุบันนี้ ส่วนช่วงเวลาอีกราว 2 เดือน จะมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางใดนั้น ยังต้องรอดูกันต่อไป