ในยุคที่ทุกอย่างกำลังถูกเปลี่ยนแปลงด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะสตาร์ทอัพ (Startup) หรือองค์กรใหญ่ล้วนแต่ต้องไล่ให้ทันความเป็นไปของโลก หรือแม้แต่สร้างนวัตกรรมของตัวเองขึ้นมา เพราะนวัตกรรมในองค์กรจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อทุกคนในบริษัทมี DNA ที่ตรงกันแปลว่าไม่ใช่แค่ตัวงานหรือแรงงานที่ต้องปรับตัว ฝ่ายทรัพยากรบุคคล หรือ HR หนีไม่พ้นเรื่องนี้เช่นกัน นั่นคือที่มาของการเปลี่ยนตัวเองสู่HR techหรือDigital HR การรวมกันของทรัพยากรบุคคล และเทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการเสริมประสิทธิภาพระบบการคัดสรรบุคลากร ในการค้นหาและว่าจ้างผู้ปฏิบัติงานมืออาชีพที่มีคุณภาพสูงขึ้น พร้อมประหยัดระยะเวลาในการกลั่นกรองประวัติของผู้สมัครจำนวนมาก และสามารถค้นพบผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งงานเฉพาะด้านได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเจาะลึกถึงทิศทางเทคโนโลยีด้านทรัพยากรบุคคลในประเทศไทยสำหรับปี 2562 Sho Kondo หัวหน้า TalentMind หน่วยธุรกิจในเครือ AnyMind Group และเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีทรัพยากรบุคคล สรุปถึงการพัฒนาของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทรัพยากรบุคคลจนถึงปัจจุบัน โดยในช่วงแรกคือ ระบบการจัดการพนักงาน ซึ่งเป็นระบบที่ใช้การบันทึกข้อมูลพนักงานส่วนบุคคล การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการเข้างานตามเวลานั้นได้รับความนิยม หลังจากนั้นไม่นานบริษัทต่างๆเริ่มให้ความสำคัญกับระบบการบริหารจัดการคนเก่งหรือบุคลากรผู้มีความสามารถสูง (Talent management systems) เพื่อเพิ่มความสามารถของพนักงานและเป็นกำลังสำคัญขององค์กรที่จะสร้างผลงานและความสำเร็จให้กับธุรกิจได้ อย่างต่อเนื่อง ระบบการจัดการคนเก่งนี้ยังช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับคนเก่งที่มีความสามารถสูง เพื่อให้มีความจงรักภักดีผูกพันกับองค์กร และช่วยลดอัตราการลาออกของบุคลากรที่มีความสามารถสูง เพราะมีระบบช่วยเหลือให้เขาเก่งขึ้น ทำงานดีขึ้น เจริญเติบโตก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นในสายอาชีพของเขา นั่นจะทำให้องค์กรมีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ในยุคปัจจุบัน มีระบบการจัดการการรับสมัครงาน หรือแพลตฟอร์มที่มีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงการสรรหาและการจับคู่ผู้สมัครกับบริษัทที่เหมาะสมกัน ด้วยบริบทนี้และทิศทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ หรือ HR Trend ประจำปี 2019 ส่วนหนึ่งยังคงผูกกับนโยบายของภาครัฐที่เน้นการมุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในยุคที่ Disruptive Technology รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน ซึ่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีประเด็นต่างๆที่นำมาสู่ Trend HR 2019 สำหรับการเปลี่ยนแปลงในปีนี้เริ่มจากการจัดการฐานข้อมูลพนักงานด้วยตนเอง รวมถึงการจัดการการลาและการเข้างานประจำปีผ่านสเปรดชีตไปยังการจัดการที่ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยแพลตฟอร์ม Artificial Intelligence หรือ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลผู้สมัครจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics)และการเก็บข้อมูลมากขึ้นโดยใช้เทคโนโลยี จะยิ่งทำให้เรามีข้อมูลมากเพียงใดเราก็จะสามารถวิเคราะห์และจัดทำแบบแผนในการทำงานต่างๆได้มากเพียงนั้น พร้อมลดความลำเอียง ปราศจากอคติ ช่วยสร้างระบบที่มีความเป็นธรรม ตรงไปตรงมา และได้ผู้สมัครที่เหมาะสมกับงานมากขึ้น และช่วยจัดการเรื่องการนัดหมาย การติดตาม การวิเคราะห์ผล ที่ทำให้ทั้งเจ้าหน้าที่บุคคล ผู้สมัคร และนายจ้าง ต่างก็มีความสุขเพราะได้คนที่เหมาะสมกับงานที่สุด เทคโนโลยีที่เหมาะสมวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นจะช่วยให้เราคาดการณ์อนาคตได้ Digital HR จึงเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนผลิตผลและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานนั่นเอง นอกจากประเทศไทยแล้วหลายประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกลายเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงในด้านทรัพยากรมนุษย์ ขณะนี้เรากำลังดูตลาดที่ต้องจ้างคนอย่างต่อเนื่อง บริษัทต่างๆ จึงเริ่มหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับการพัฒนาอัลกอริทึมเพื่อช่วยหาคนที่เหมาะสม การใช้ AI จึงเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการสรรหาทรัพยากรบุคคลให้ง่าย รวดเร็ว แม่นยำและมีต้นทุนที่ลดลง กระบวนการสรรหาบุคลากรมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของมนุษย์ที่อาจถูกนำมาใช้ในการตัดสินใจ “การคัดเลือกผู้สมัครจากจำนวนนับร้อยที่มีข้อมูลมหาศาลต้องใช้เวลาในการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้ได้ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติตรงและเหมาะสมกับงานและ AI มีส่วนช่วยลดอคติในการคัดเลือกผู้สมัครได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก AI คัดเลือกผู้สมัครจากข้อกำหนดตามที่องค์กรตั้งไว้ โดยไม่มีอารมณ์เหมือนมนุษย์มาเกี่ยวข้อง จึงเป็นการเพิ่มความชัดเจน และความยุติธรรมให้กับผู้สมัครงาน แม้กระนั้นก็ตาม ยังมีความกังวลว่าหากใช้ AI ในการคัดกรองพนักงาน จะทำให้ได้พนักงานที่ขาดลักษณะความเป็นมนุษย์และเหมือนกับหุ่นยนต์มากเกินไป ดังนั้น จึงยังมีความจำเป็นต้องใช้มนุษย์ในการคัดสรรรอบสุดท้าย ซึ่งจะช่วยลดความกังวลดังกล่าวได้“ ส่วนการใช้งานซอฟต์แวร์บนคลาวด์ (Cloud Software)นั้นเติบโตขึ้นอย่างมาก คลาวด์หมายถึงการทำงาน การประมวล จัดเก็บข้อมูลและอื่นๆบนระบบออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้ที่อยู่ในระบบทุกคนสามารถที่จะเข้าถึงระบบและได้รับข้อมูลที่เหมือนกัน เนื่องจากข้อมูลต่างๆอยู่บนอินเทอร์เน็ต เมื่อไม่จำเป็นต้องมีฮาร์ดแวร์เครื่องใหญ่ๆ เอาไว้ประมวลผลในการทำงานด้าน HR อาจต้องใช้เอกสารเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารสัญญา เอกสารสมัครงานและเอกสารอื่นๆอีกมากมาย หากต้องย้ายไป ย้ายมา อาจทำให้เกิดการสูญหายได้ การนำคลาวด์เข้ามาเก็บข้อมูลช่วยทำให้เอกสารไม่สูญหาย ช่วยทำให้ประหยัดเวลาในงานด้านเอกสารลง และยังช่วยลดเอกสารที่ต้องใช้ลงอีกด้วย ทำให้ประหยัดต้นทุกลงไปมาก จากการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ทำให้ HR สามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวพนักงานได้รวดเร็ว ตลอดเวลาและสามารถใช้งานได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลวันลาที่ไม่ต้องใช้ใบลาอีกต่อไป HR สามารถรู้ได้อย่างรวดเร็วและทันเวลาว่าพนักงานคนใดลาป่วย หรือสามารถอัปเดตข้อมูลเมื่อมีพนักงานเลื่อนตำแหน่ง ข้อมูลส่วนตัวขอพนักงาน และยังช่วยทำให้การวางแผนทรัพยากรบุคคลเข้าถึงพนักงานได้ดีมากขึ้น นอกเหนือจากที่กล่าวมานั้น HR Trend ประจำปี 2019 จะมุ่งเน้นในการดูแลทั้งบุคลากรอันมีค่า และบริหาร Data ไปพร้อมๆกัน เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง เชื่อได้เลยว่าผลลัพธ์ของสิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องดีต่อทั้งทางบริษัทและฝั่งลูกจ้างที่มุ่งเน้นการพัฒนาตนเอง ในช่วงแรกๆอาจเหนื่อยกับการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย แต่เพื่อการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนนั้น นับว่าคุ้มค่าไม่น้อยเลยทีเดียว ทรัพยากรบุคคลเป็นแผนกที่สำคัญที่สุดในธุรกิจและเป็นไปได้ว่าการขับเคลื่อนทรัพยากรบุคคลของธุรกิจสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้นอยู่กับวิธีการใช้เทคโนโลยีเพื่อกำจัดงานที่ทำด้วยมือ โดยขณะนี้เครื่องมือและทรัพยากรพร้อมให้เราใช้แล้วเป็นเพียงวิธีและเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญและธุรกิจมองหาการใช้เทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนอนาคตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่อไปในอนาคต เมื่อ AI ได้รับการพัฒนาให้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ และแพร่หลายไปยังธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆคงถึงยุคของ AI อย่างแท้จริง นับเป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่ช่วยทำให้โลกของเราสะดวกสบายมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกนำมาใช้งานและดูแลการใช้งานให้เหมาะสมอย่างไร