ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ยังไม่เคยมีนักการเมืองหน้าไหนของพรรครีพับลิกันที่จะเสนอหน้ากล้าออกมาท้าทายประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เลยแม้แต่คนเดียว แต่ขณะนี้ความรู้สึกเกรงกลัวเหล่านั้นได้หายออกไปจากหัวของเหล่าบรรดานักการเมืองในพรรครีพับลิกัน ที่มีผลทำให้สมาชิกของพรรคเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม จากผลการหยั่งเสียงของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ร่วมกับสถานีโทรทัศน์เอบีซีล่าสุดนี้ได้ออกมาระบุว่า หนึ่งในสามของผู้ที่สังกัดอยู่ในพรรครีพับลิกันไม่ต้องการจะให้ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งของปี 2020 อีกต่อไปแล้ว โดยคนกลุ่มนี้คิดว่าประธานาธิบดีทรัมป์มิได้เป็นปากเป็นเสียงที่แท้จริงของพรรครีพับลิกันแต่อย่างใดเลย!!! อีกทั้งกลุ่มหัวก้าวหน้าถึง 48% ยังต้องการให้นักการเมืองคนอื่นเข้าเป็นตัวแทนของพรรคในการแข่งขันอีกสองปีข้างหน้าอีกด้วย!!! โดยปรากฎการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้มาจากหลายปัจจัยด้วยกัน อาทิ มาจากการที่พนักงานแปดแสนกว่าคนถูกลอยแพนานเป็นประวัติการณ์ถึง 35 วัน ที่ได้สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศสหรัฐฯอย่างมหาศาล ซึ่งเห็นผลสะท้อนได้จากคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ตกฮวบลงไปจนเหลือแค่เพียง 37% อีกทั้งการที่โรเจอร์ สโตน ซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดและเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทรัมป์มานานหลายสิบปี ขณะนี้ถูกเอฟบีไอจับกุมไปแล้วเมื่อวันศุกร์แถมยังถูกตั้งข้อหาหลายกระทง แน่นอนว่าสร้างผลกระทบให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ไปโดยปริยายด้วยเช่นกัน และนอกจากนั้นแล้วขณะนี้ก็ยังมีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่า "ผลสรุปของอัยการพิเศษโรเบิร์ต มูลเลอร์ ที่ทำการสืบสวนเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกเข้าสู่ทำเนียบขาวนั้นไม่โปร่งใส ซึ่งทำให้ขาเก้าอี้ในตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์เกิดอาการสั่นคลอน และบรรยากาศทางการเมืองของเขาไม่แจ่มใสเต็มไปด้วยเมฆหมอก อีกทั้งขณะนี้ก็ได้มีกระแสข่าวออกมาตลอดเวลาด้วยเช่นกันอีกว่านักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันหลายๆคนกำลังวางแผนที่จะลงแข่งขันท้าทายประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งสมัยหน้า ดังเช่น จอห์น เคซิก อดีตผู้ว่าฯรัฐโอไฮโอ วุฒิสมาชิกเบน เซสซี จากรัฐเนบราสก้า และผู้ว่าฯแลรี โฮแกน แห่งรัฐแมรีแลนด์ และเมื่อใดก็ตามที่นักการเมืองในพรรคเดียวกันกับประธานาธิบดีที่กำลังดำรงอยู่ในตำแหน่ง ออกมาป่าวประกาศท้าทายที่จะลงแข่งขันกับประธานาธิบดีในค่ายพรรคเดียวกันเอง ก็ย่อมจะส่งผลเสียให้แก่พรรคไปโดยปริยาย ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างที่เคยเกิดเมื่อปี 1980 ที่วุฒิสมาชิกเท็ด เคนเนดี้ ออกมาแข่งขันท้าทายต่อประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ จนมีผลทำให้ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ต้องพบกับความพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างยับเยิน และขณะที่พรรครีพับลิกันกำลังมีรอยร้าวอยู่นั้น ปรากฎอีกเช่นกันว่า ในค่ายพรรคเดโมแครตก็ได้มีนักการเมืองออกมาประกาศที่จะลงแข่งขันเลือกตั้งแล้วแปดคน และยังมีแนวโน้มว่าจะมีเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ!!! โดยหนึ่งในนั้นได้แก่ วุฒิสมาชิกหญิงหน้าใหม่จากรัฐแคลิฟอร์เนีย นั่นก็คือ "คามาลา แฮริส"  วุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส แม้จะเพิ่งเข้ารับตำแหน่งวุฒิสมาชิกได้เพียงสองปี แต่ใจถึงกล้าออกมาประกาศตัวท้าทายที่จะลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี นับว่าเธอไม่ธรรมดาและไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องคาดไม่ถึงเกิดขึ้น ทำนองเดียวกันกับประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จากการกล่าวแนะนำตนเองในรายการสัมภาษณ์ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นที่มหาวิทยาลัยเดรค รัฐไอโอวา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้ วุฒิสมาชิกแฮริสได้แสดงถึงจุดยืนอย่างมั่นใจแถมยังมีเสน่ห์ดึงดูดสายตาอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเป็นวิธีการพูดและท่าทางการควบคุมสติอารมณ์ โดยการให้สัมภาษณ์วันนั้นเธอมิได้แสดงอาการประหม่าเลยแม้แต่น้อย แถมบางครั้งเธอยังมีลูกเล่นหยอดมุขสอดแทรกอารมณ์ขบขันในการสนทนา ที่ถึงแม้จะเป็นการเมืองเรื่องหนักหัวก็ตาม แต่เธอก็ทำให้ไม่รู้สึกตึงเครียดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย!!! และขณะที่เธอกำลังถูกซักถามอยู่นั้น วุฒิสมาชิกแฮริสก็มิได้ละสายตาจากผู้ดำเนินรายการที่กำลังซักถามเลยแม้แต่น้อย โดยเธอสบสายตาตลอดเวลาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเยือกเย็น มีอยู่ตอนหนึ่งที่วุฒิสมาชิกแฮริสได้กล่าวถึงลักษณะอันโดดเด่นของการเป็นผู้นำ โดยเธอชี้ว่า "ผู้ที่จะเป็นผู้นำระดับประเทศได้ดีนั้น จะต้องพูดความจริง และพูดในเรื่องที่เป็นประโยชน์" แถมด้วยแย็บแบบหยิกแกมหยอกอ้อมๆไม่เจาะจงถึงตัวบุคคลให้ไปคิดกันเองว่า “มิใช่พูดแต่เรื่องของตัวเองตลอดเวลา” ซึ่งได้รับการปรบมือเสียงดังก้อง ทั้งนี้วุฒิสมาชิกแฮริสยังได้ชี้อีกว่า เธอมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยการเป็นผู้นำประเทศนั้นจะต้องพูดถึงความต้องการอย่างแท้จริงที่ประชาชนกำลังเผชิญหน้าอยู่ ต้องแสดงถึงความห่วงใยในความยากลำบากของประชาชนที่กำลังเดือดร้อน และควรจะต้องพูดถึงอนาคตของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มิใช่จ้องจะรับใช้แต่เศรษฐี มหาเศรษฐี หรือเจ้าของธุรกิจรายใหญ่ๆ!!! สำหรับนโยบายหลักของวุฒิสมาชิกแฮริสนั้น เธอชูธงในเรื่องที่ว่า คนอเมริกันทุกคนควรจะได้รับสิทธิ์สวัสดิการด้านสุขภาพ และรัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังในการกำจัดมลพิษให้ลดลง ลดอัตราภาษีกับคนชั้นกลาง ให้โอกาสลูกหลานโรบินฮูดหลายแสนคนที่ติดตามพ่อแม่เข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายโดยที่เด็กๆเหล่านั้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อนึ่งอย่าลืมว่าเยาวชนนักล่าฝันกลุ่มนี้ที่เรียกกันว่า “Dreamers”  ซึ่งมีจำนวนมากที่กำลังศึกษาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย และยังมี 6 คนที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นที่ทราบกันแล้วว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้เข้าไปเรียนยากแสนยาก  นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีเยาวชนเด็กไทยที่กำลังศึกษาทางด้านการแพทย์อยู่ในกลุ่มนี้อีกด้วย  ทั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามที่จะขัดขวางโอกาสของเยาวชนกลุ่มดรีมเมอร์นี้อย่างหนัก โดยเรื่องนี้วุฒิสมาชิกแฮริสได้กล่าวยืนยันว่า “ดิฉันจะยืนอยู่เคียงข้างพวกเขา”   เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้วุฒิสมาชิกแฮริสได้ประกาศลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการแล้ว ที่ Frank Ogawa Plaza เมืองโอคแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งงานนี้มีผู้ไปร่วมกว่าสองหมื่นคน!!! โดยมีคลื่นมหาชนเดินหลายบล็อกทะยอยเข้าศูนย์พลาซาดังกล่าวและหากท่านต้องการชมบันทีกวีดีโอของคลื่นมหาชนนี้ กรุณากดอินเตอร์เน็ตไปที่ Kamala Harris Presidential Campaign Rally at Frank Ogawa Plaza, Oakland, CA กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นจะเห็นได้อย่างเด่นชัดเลยว่า ขณะนี้การเมืองของสหรัฐฯกำลังอยู่ในขั้นวิกฤติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งชัตดาวน์ยาวนานเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งการที่ผู้คนรอบข้างของเขากำลังทะยอยเดินเข้าซังเตกันเป็นระลอกๆ จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่นักการเมืองมากหน้าหลายตาต่างเดินเข้าแถวต้องการที่จะเข้ามาประลองยุทธ์แข่งขันกับประธานาธิบดีทรัมป์ และไม่แน่ว่าวุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส ที่ดวงกำลังรุ่งพุ่งมาแรงผู้นี้อาจจะแซงทางโค้งจนได้กลายเป็นประธานาธิบดีหญิงผิวสีคนแรกของสหรัฐฯก็เป็นไปได้ละครับ