วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งต่อไปคือวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 และขณะที่คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีอยู่ค่อนข้างต่ำไม่เกิน 50%ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ อีกทั้งตัวเขาก็ยังเป็นเป้าที่โดนโจษจันอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่าฐานการเมืองของเขาที่เป็นคนผิวขาว มีการศึกษาในระดับต่ำที่อยู่ในชนบท และอยู่ในกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ยังคงนิยมชมชอบและยังจะสนับสนุนเขาก็ยังมีอยู่ค่อนข้างสูง ฉะนั้นหากว่าประธานาธิบดีทรัมป์สามารถผ่านมรสุมการเมืองที่รุมเร้าเขาไปได้ตลอดรอดฝั่ง เขาก็อาจจะไปยืนรอเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันต่อไปอีก อนึ่งเนื่องจากนักการเมืองของพรรคเดโมแครตต่างคาดการณ์กันว่า โอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่สามารถผ่านมรสุมการเมืองมีความเป็นไปได้สูง จึงมีผลทำให้นักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตต่างเรียงแถวหน้ากระดานประกาศตัว ต้องการเข้าแข่งขันที่จะเป็นตัวแทนของพรรค โดยขณะนี้มีนักการเมืองพรรคเดโมแครตที่ออกมาประกาศจะลงแข่งขันแล้วถึง 8 คนด้วยกัน และคาดว่าอาจจะมีผู้ที่ประสงค์จะเข้าลงสนามแข่งขันกว่าสามสิบคน!!! ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มกราคมนี้ วุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส วัย 54 ปีจากรัฐแคลิฟอร์เนียได้ประกาศลงเลือกตั้ง ซึ่งเธอมีประวัติการเมืองในรัฐแคลิฟอร์เนียที่โชกโชน จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยฮาวเวิร์ด (ไม่ใช่ฮาร์วาร์ด) วอชิงตัน ดีซี.และยังจบด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เบอร์คเลย์     วุฒิสมาชิกแฮริส มีมารดาเป็นชาวอินเดีย และบิดาเป็นชาวโปโตริกัน นับว่าเธอเป็นคนผิวสีคนที่สองในรอบ 47 ปีที่ได้ประกาศลงแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีและได้กลายเป็นนักการเมืองตัวเก็งที่จะเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตทันที     วุฒิสมาชิกแฮริสชูธงแสดงจุดยืนนอกกรอบ โดยเสนอ "ให้ทุกคนได้เรียนฟรี ในระดับปริญญาตรีที่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ และยังเสนอให้คนอเมริกันทุกคนมีสวัสดิการณ์ด้านสุขภาพ" ซึ่งเธอได้ออกโรงมาต่อต้านการบริหารประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างโจ่งครึ่ม     และถึงแม้ว่าวุฒิสมาชิกแฮริสจะดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกเพียงแค่สองปีก็ตาม แต่เธอได้รับการแต่งตั้งในคณะกรรมการที่มีอิทธิพล 2 คณะ นั่นก็คือ คณะกรรมการตุลาการของวุฒิสภา และ คณะกรรมการฝ่ายความมั่นคง     เนื่องจากรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐใหญ่ที่สุดและมีคะแนนเลือกตั้งสูงกว่าทุกรัฐ และยิ่งไปกว่านั้นรัฐนี้ยังได้เลื่อนการเลือกตั้งขั้นต้น (Primary Election) ให้เร็วขึ้นเป็นวันที่ 3 มีนาคมปี 2020 ทำให้โอกาสที่เธอจะได้เปรียบด้านคะแนนรวมเหนือนักการเมืองคนอื่นๆก็ย่อมจะมีความเป็นไปได้สูง และย่อมจะทำให้นักการเมืองคนอื่นๆที่ไม่สามารถเก็บคะแนนในการเลือกตั้งขั้นต้นในรัฐแรกๆ อาจจะถอดใจถอนตัวออกไป ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน!!!     อีกทั้งวุฒิสมาชิกแฮริสอาจจะมีความได้เปรียบด้านเม็ดเงินที่ใช้ในการหาเสียงจากผู้ที่สนับสนุนเธอ ที่พวกเขามีเม็ดเงินถุงเงินถังกระเป๋าหนัก แถมนโยบายของเธอยังเป็นที่นิยมของหมู่เยาวชน คนผิวสี และชนกลุ่มน้อย    วุฒิสมาชิกอลิซาเบท วอร์เรน วัย 69 ปี จากรัฐแมสซาชูเซต อดีตศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยเธอวางตัวเป็นศัตรูทางการเมืองกับประธานาธิบดีทรัมป์อย่างแข็งขันมาตลอด เธอชูธงโจมตีประธานาธิบดีทรัมป์ค่อนข้างถี่ยิบ ซึ่งนโยบายที่เธอนำเสนอก็คือ "ให้ทุกคนมีรายได้เท่าเทียมกัน" และต้องการที่จะเข้าไปเป็นเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนชั้นกลาง    อย่างไรก็ตามนักการเมืองของพรรคเดโมแครตคนอื่นๆที่ประกาศลงสนามแล้วได้แก่ จูเลียน คาสโตร อายุ 44 ปีอดีตรัฐมนตรีการเคหะฯในสมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามา และดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองซาน แอนโทนิโอ ในรัฐเท็กซัส โดยชูธงหาเสียงว่า “สวัสดิการสุขภาพต้องเป็นของทุกๆคน”     จอห์น เดลานีย์ วัย 55 ปี อดีตสมาชิกผู้แทนราษฎร จากรัฐแมรีแลนด์ และยังเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ได้ออกมาชูธงหาเสียงว่า “อเมริกันชนทุกๆคนสมควรที่จะได้รับสวัสดิการด้านสุขภาพ” ทุลซี แกบบาร์ด วัย 37 ปี ดำรงตำแหน่งสมาชิกผู้แทนราษฎร จากรัฐฮาวาย โดยนโยบายของเธอมีว่า “ขณะนี้สหรัฐอเมริกาเต็มไปด้วยปัญหาและกำลังเผชิญกับสิ่งที่ท้าทายอย่างมากมาย ดิฉันขอเสนอตัวว่า ดิฉันเป็นนักแก้ปัญหาและไม่เห็นด้วยกับการที่สหรัฐฯเข้าไปแทรกแซงด้านการทหารในต่างประเทศ” เคิร์สเตน กิลลิแบรนด์ วัย 52 ปี วุฒิสมาชิกจากรัฐนิวยอร์ก อดีตสมาชิกผู้แทนราษฎร โดยเธอปาวรณาประกาศตัวเองว่า "จะเป็นปากเป็นเสียงให้แก่บรรดาเหล่าสตรีและเยาวชน" ริชาร์ด โอเจด้า วัย 48 อดีตนักการเมืองท้องถิ่น แห่งรัฐเวสท์เวอร์จิเนีย อดีตทหารผ่านศึก โดยเขาประกาศชูธงว่า "จะคืนอำนาจกลับสู่ประชาชน ไม่ให้ตกอยู่กับกลุ่มผลประโยชน์"          แอนดริว หยาง อายุ 44 อดีตนักบุกเบิกด้านไฮเทคและนักบริหารองค์กรไม่หวังผลกำไร โดยเขาชูธงเรื่อง "นวัตกรรมโรบอทและปัญญาประดิษฐ์ และยังต้องการให้คนอเมริกันมีรายได้มาตรฐานอย่างน้อยเดือนละหนึ่งพันเหรียญ"        ทั้งนี้ยังมีนักการเมืองที่กำลังวางแผนจะประกาศตัวลงสนามเร็วๆนี้อีกหลายคนก็คือ คอรีย์ บูเกอร์ อายุ 49 ปีวุฒิสมาชิกจากรัฐนิวเจอร์ซี นักการเมืองที่มีโวหารดุเดือดหาตัวจับยากและดำเนินนโยบายสายกลาง เป็นคนผิวสี จบปริญญาตรีและปริญญาโทจากแสตนฟอร์ด จบด้านกฎหมายจากเยล โดยชี้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้เหยียดสีผิว และเขายังเป็นไม้เบื่อไม้เบาในแทบทุกๆรูปแบบกับประธานาธิบดีทรัมป์มาตลอด เขาชูธงนโยบายว่า "ผู้นำต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม"       ส่วน จอห์น  ฮิคเคนลูเปอร์ วัย 66 ปี อดีตผู้ว่าฯรัฐโคโลราโด ชูธงว่า "จะขยายสวัสดิการด้านสุขภาพให้กับทุกคน และจะออกกฏหมายด้านการควบคุมอาวุธปืน"      อีกทั้งยังมีนักการเมืองที่ถูกกล่าวขวัญและรู้จักกันทั่วประเทศอาจจะลงแข่งขันด้วยดังเช่น โจ ไบเด้น อดีตรองประธานาธิบดีสมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามา และอดีตวุฒิสมาชิกจากรัฐเดลิแวร์โดยเขาชี้ว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในตำแหน่งประธานาธิบดีและต้องการรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ในอดีตของสหรัฐฯ” โดยเขาเคยลงสนามแข่งขันมาแล้วสองครั้ง แต่ทว่าวัยของเขาอาจจะเป็นอุปสรรค   สตีฟ บูลล็อค วัย 52   ปี ผู้ว่าฯรัฐมอนแทนาโดยเขาชูธง "ต้องการจะประสานรอยร้าว เป็นสะพานสร้างความสมานฉันท์ภายในชาติ และต้องการปฏิรูปเม็ดเงินในการหาเสียง" อิริค  การ์เซ็ตตี้ วัย 47 ปี นายกเทศมนตรีนครลอสแอนเจลิส ซึ่งมีความสนิทสนมกับสังคมไทยในสหรัฐอเมริกามาอย่างช้านานนับตั้งแต่ครองตำแหน่งเทศมนตรีในบริเวณไทยทาวน์ โดยเสนอนโยบาย "เป็นตัวเชื่อมสร้างความสมานฉันท์ ประสานความแตกแยกภายในประเทศ"       เบอร์นีย์ แซนเดอร์ส วัย 77 ปี วุฒิสมาชิกจากรัฐเวอร์มอนท์ อดีตสมาชิกผู้แทนราษฎร และยังเคยลงสนามแข่งขันประธานาธิบดีเมื่อสองปีก่อน แต่พ่ายแพ้ให้แก่ฮิลลารี คลินตัน และเป็นที่นิยมของคนชั้นกลางและหมู่เยาวชน มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่อาจจะประกาศลงเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง        ส่วนไมเคิล บลูมเบอร์ก มหาเศรษฐีที่ได้ทุ่มเทเงินหลายล้านดอลลาร์ช่วยเหลือแก่นักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตให้ได้รับชัยชนะในสภาผู้แทนราษฎร ก็กำลังสนใจเล็งๆเอาไว้ว่าจะประกาศลงเลือกตั้งด้วย โดยเขาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่วางตัวเป็นไม้เบื่อไม้เบากับประธานาธิบดีทรัมป์เช่นกัน     กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นจะเห็นได้อย่างเด่นชัดเลยว่าขณะนี้มีผู้ที่กำลังจะเข้าไปลงสนามการแข่งขัน เพื่อประลองฝีมือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มากหน้าหลายตา ซึ่งมองๆไปแล้วมีอยู่หลายคนที่มีคุณสมบัติเข้าตากรรมการ ถือเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ที่จะเข้าไปขวางคอจนอาจจะทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องสำลักหายใจไม่ออกล้มผึงพบกับความพ่ายแพ้ก็เป็นไปได้ทั้งนั้นละครับ ภาพจาก New York Times ของวันที่ 21 January, 2019"