บุรีรัมย์โมเดลสะเทือนถึงแคนดิเดตคนผู้นำประเทศ หลัง “อนุทิน” ประกาศเป็นนายกฯ “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” พร้อมส่งสส. 500 ที่นั่ง มั่นใจนโยบายปากท้องโดนใจชาวบ้าน ทลายอำนาจรัฐ -นายทุน จนนายชัชชาติ ยืมแบ่งปันกำไรข้าวไปใช้หาเสียง เชื่อ “กัญชาเสรี” สไตล์แคลิฟอร์เนีย ทางรอดทางเศรษฐกิจไทย ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการเปิดตัวผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย 500 เขต และการอาสาตัวอย่างหมูไม่กลัวน้ำร้อน ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค ที่อาสาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเมืองไทย เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา เชื่อว่าเสียงเชียร์จากพี่น้องประชาชนกว่า 3 หมื่นคนจากเมืองปราสาทสองยุค ได้ส่งแรงสะเทือนจากที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เข้าไปสร้างความหวาดหวั่นให้แก่แคนดิเดตนายกฯของพรรคการเมืองต่างๆ ได้ไม่น้อย นอกจากตัวผู้นำพรรคที่เป็นคนทำงานที่ได้รับการยอมรับแล้ว ผู้สมัครของพรรคก็เป็นอดีตส.ส.จำนวนมากแล้ว ยังมีสิ่งที่โดดเด่นและถูกพูดถึงกันมาก คือนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ที่วันนี้ตรงต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ที่ต้องการให้แก้ปัญหาปากท้องมาก่อนการเมือง ภายใต้สโลแกน “ลดอำนาจรัฐเพื่อปากท้องประชาชน” ที่บัดนี้เข้าไปเขย่าจิตใจของผู้ยากจน ให้เกิดความหวัง ที่จะเปลี่ยนแปลง หลังให้โอกาสรัฐบาลคสช. คืนความสุข 5ปี แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายลง หรือพรรคการเมืองเดิมๆที่ได้รับโอกาสก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายชาวบ้าน ได้ความขัดแย้ง หรือบ้านเมืองไม่ได้รับการพัฒนา จนมีเสียงจากออกมาต้องการความเปลี่ยนแปลง และ “พรรคภูมิใจไทย” ก็ถือเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่ชาวบ้านอยากทดลองให้โอกาส ด้วยมาตรฐาน “บุรีรัมย์โมเดล” ที่จะนำแนวคิดนี้ ไปพัฒนาจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศให้เกิดความเจริญ พร้อมทลายความยากจนที่ผูกติดกับอำนาจรัฐและนายทุนผูกขาด ผ่านนโยบายสำคัญๆ อาทิ ระบบกำไรแบ่งปัน ( Profit sharing ) มาใช้สินค้าการเกษตร ยกตัวอย่างเรื่องข้าวให้ชาวนามีส่วนแบ่งทางการตลาด 75 % โรงสีและผู้ส่งออกได้ 25 % โดย “อนุทิน” ได้แสดงความมั่นใจว่า ทำได้จริงพร้อม และตอบคำถามผู้ใหญ่ในรัฐบาลได้รับทราบวิธีการดำเนินงานของพรรคไปแล้วดังเช่นกฎหมายอ้อยและน้ำตาลที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2527 หรือ 35 ปีมาแล้ว จนกระทั่ง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีจากพรรคเพื่อไทย ยังต้องยืมนโยบายนี้จากคนภูมิใจไทย ไปหาเสียงกับชาวนา ถัดมาคือนโยบายพักหนี้กยศ. 5 ปี โดยไม่คิดดอกเบี้ย และผ่อนจ่ายภาษีประจำปี ก็ได้รับเสียงเชียร์จากลูกหนี้กยศ. ที่เป็นนักเรียน และนักศึกษากว่า4 ล้านคนทั่วประเทศ , ยกระดับอสม.กว่าล้านคนให้มีศักดิ์ศรี กฎหมายรองรับที่ชัดเจน และมีรายได้ 2,500 –10,000บาทต่อเดือน , แก้กฎหมายคนขับแกร็บคาร์ และไบค์ ให้ถูกกฎหมาย ที่สร้างรายได้ให้แก่คนเมืองหาเช้ากินค่ำ และเพิ่มทางเลือกการเดินทางที่ตรงใจแก่ชาวกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังมีนโยบายที่กระแทกใจคนไทย ถือเป็นความท้าทายใหม่ ปรับเปลี่ยนความเชื่อเดิม ๆในสังคมไทย คือ “ปลูกกัญชาเสรี” ที่ “อนุทิน” มั่นใจว่าหากได้เป็นรัฐบาลจะเข้าไปผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จ ภายหลังกฎหมายดังกล่าว ที่สนช.ให้ความเห็นชอบวาระ 3ไปแล้ว แต่ยังมีเสียงท้วงติงว่า เอื้อให้เฉพาะนายทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ขณะที่ชาวบ้านยังถูกกีดกันเช่นเดิม ไม่ต่างจากการไม่สามารถผลิตคราฟต์เบียร์ในประเทศไทยได้ หรือเกษตรกร ต้องจำใจซื้อเมล็ดพันธุ์พืชจากบริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้นเป็นต้น แนวคิด การปลูกกัญชาเสรีของ พรรคภูมิใจไทย เริ่มที่ จะแก้ไขพระราช​บัญญัติ​ยาเสพติด​ให้โทษ​ ใช้โมเดลของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ​ซึ่งทำให้กัญชากลายเป็นพืชเศรษฐกิจ​ ถือเป็นตลาดกัญชาที่ใหญ่ที่สุดในโลก​ มีมูล​ค่า​ถึง​ 5 แสนล้านบาท​และหลังเปิดให้ประชาชนสามารถซื้อขายได้อย่างเสรี​ทำให้เก็บภาษีได้​ 1 แสนล้านบาท โมเดลดังกล่าวนี้หากประเทศไทยนำมาใช้ ​ จะทำให้ทุกครอบครัวสามารถปลูกกัญชาได้โดยไม่ติดข้อจำกัดเรื่องค่าใบอนุญาตการปลูกที่สูงถึง​ 30​ ล้านบาท ตามที่ สนช.ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายไปก่อนหน้านี้ ที่เอื้อต่อคนรวย​ และทำให้คนไทยและประเทศไทยสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจ​ เนื่องจากผลผลิตกัญชา​ 1 ต้น​จะได้​ 1 กิโลกรัมต่อปี​ ราคากิโลกรัมละ​ 7​ หมื่นบาท​ หากปลูก​ 6 ต้นตามโควตา​ จะทำให้มีรายได้​ 420,000 บาท​ ต่อปี​ ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน พร้อมเปลี่ยนความเชื่อว่า กัญชาจากยาเสพติดให้โทษ เป็นพืชเศรษฐกิจและให้ประโยชน์ อาทิ ใช้ทำยาเพื่อรักษาทางการแพทย์ เช่น รักษาโรคอาการเบื่ออาหารในผู้ป่วยโรคเอดส์ ลดอาการคลื่นไส้ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง รักษาโรคหัวใจ ใช้เพื่อการพักผ่อนสันทนาการใช้เพื่อผสมผลิตภัณฑ์ อาหาร เครื่องดื่ม ขนม เป็นต้น นี่คือคำมั่นสัญญาของพรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ“นายอนุทิน ชาญวีรกูล” แคนดิเดตนายกฯคนใหม่ ที่กล้าประกาศตัวแบบ“หมูไม่กลัวน้ำร้อน” และทลายความยากจนของพี่น้องชาวไทย ภายใต้สโลแกน “ลดอำนาจรัฐเพื่อปากท้องให้ประชาชน