“แอลพีเอ็น”ชี้ธุรกิจอสังหาฯปี62 ยังพบปัจจัยลบรุมเร้า ประกาศเดินหน้ารุกหนักบ้านเดี่ยว และธุรกิจบริการ หวังกระจายความเสี่ยง พร้อมวางเป้าเติบโตสิ้นปี15% นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯในปีนี้มีแนวโน้มถดถอยอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยลบต่างๆ อาทิ ราคาที่ดินที่ปรับตัวสูง ทำให้การพัฒนาโครงการใหม่ลำบากมากขึ้น , หนี้ภาคครัวเรือนที่ยังสูงในรอบใหม่ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น แบงก์ยังเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ตลาดอสังหาฯระดับกลาง-ล่าง (ราคา 1-2 ล้านบาท) ชะลอตัว และล้นตลาดในหลายทำเล จึงเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ผู้ประกอบการหันไปพึ่งพาตลาดผู้ซื้อต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มส่งสัญญาเตือนผู้ประกอบการให้ระมัดระวังในการพัฒนาโครงการใหม่ บริหารความเสี่ยงให้ดี ทั้งนี้แม้จะมีความเสี่ยงต่างๆที่กระทบต่อธุรกิจอสังหาฯ แต่บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อทำตลาดต่อเนื่อง โดยเน้นเจาะกลุ่มตลาดระดับกลาง-บน(ราคา 2 – 10 ล้านบาท) มากขึ้นเนื่องจากยังเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง พร้อมวางเป้าหมายจะเปิดโครงการใหม่จำนวน 16 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 10 โครงการ มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท , คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท พร้อมรุกธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำและธุรกิจบริการมากขึ้น รองรับปัจจัยลบและกระจายความเสี่ยง สร้างรายได้ให้บริษัทอย่างยั่งยืนมากขึ้น สำหรับเป้าหมายการเติบโตในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 15% หรือมียอดขายรวมที่ 16,500 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียม 11, 000 ล้านบาท ,และบ้านแนวราบ 5,500 ล้านบาท ขณะที่รายได้คาดว่าจะอยู่ที่ 13,500 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากคอนโดมิเนียม9,000 ล้านบาท, บ้านแนวราบ 3,000 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจบริการ 1,500 ล้านบาท “ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการฝ่าพายุ เห็นได้ชัดว่าการทำธุรกิจปีนี้บริษัทจะไม่เน้นพึ่งพาแค่ตลาดคอนโดฯเหมือนที่ผ่านมาจาก เดิมมีสัดส่วนรายได้ถึงกว่า 90% แต่จะเน้นการกระจายรายได้มากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยง เช่น การพัฒนาบ้านแนวราบมากขึ้น, การรุกธุรกิจที่มีรายได้ประจำจากการบริหารโครงการของบริษัทลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด และรายได้จากการปล่อยเช่า และการขยายธุรกิจออฟฟิศคอนโดฯเพื่อขาย เป็นต้น ทำให้สัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจอสังหาฯรวมจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 80-85% และมาจากธุรกิจบริการอยู่ที่ 15-20%”นายโอภาส กล่าว