คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย  นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ในปี 2020 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จำต้องเผชิญกับศึกที่จะดาหน้าถาโถมเข้ามาเป็นระลอกๆหลายๆด้านด้วยกัน    ดั่งเช่นกรณีข้าราชการรัฐบาลกลางกว่าแปดแสนคนในกระทรวงต่างๆ ซึ่งถูกประธานาธิบดีทรัมป์ลอยแพทำงานไม่ได้รับเงินตอบแทน โดยขณะนี้ย่างเข้าไปสัปดาห์ที่สี่แล้ว    เหตุผลที่เป็นเช่นนี้สืบเนื่องเพราะแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรร่วมกับส.ส.ค่ายพรรคเดโมแครตที่ออกมายืนกรานไม่ยอมอนุมัติงบประมาณซึ่งเป็นเงินถึง 5.7 พันล้านเหรียญตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการนำไปสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐอมริกากับแม็กซิโก!!!    แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ว่าจะประกาศภาวะฉุกเฉินก็ตาม แต่ไม่เป็นผลเพราะถูกแกนนำของพรรครีพับลิกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก "วุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์" คู่ปรับคู่แค้นเก่าของประธานาธิบดีทรัม์ออกมาต่อต้านอย่างแข็งขัน โดยรอมนีย์อธิบายว่า"การประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศจะต้องเป็นกรณีพิเศษและจำเป็นจริงๆเท่านั้น" ทำให้แนวความคิดเช่นนี้ของประธานาธิบดีทรัมป์ต้องเก็บเข้าลิ้นชักเงียบหายไปก่อน ทั้งนี้ถึงแม้ว่ามิตต์ รอมนีย์ จะถือเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ในวุฒิสภาขณะนี้ก็ตาม แต่อดีตที่ผ่านมาเขายังเคยเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันลงแข่งขันในตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้วเมื่อปี 2012 และคาดว่าหากประธานาธิบดีทรัมป์เกิดพิเรนทร์ทำอะไรผิดพลาดที่ถือเป็นภัยต่อประเทศชาติแล้วละก็ มิตต์ รอมนีย์ นี่แหละจะกลายเป็นนักการเมืองที่อาจจะประกาศท้าทายลงแข่งขันกับประธานาธิบดีทรัมป์ในการเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันสมัยหน้า      กรณีแนวความคิดเรื่องการสร้างกำแพงของประธานาธิบดีทรัมป์ปรากฎว่าขณะนี้มีกระแสต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจากการหยั่งเสียงของซีเอ็นเอ็นล่าสุดได้ออกมาระบุว่า คนอเมริกันตำหนิการชัตดาวน์ของประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 55% โดยมีกลุ่มที่โยนความผิดให้พรรคเดโมแครต 32% อีกทั้งเมื่อเดือนที่แล้วคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งมีอยู่ที่ 42% แต่เดี๋ยวนี้ลดลงเหลือแค่เพียง 37% และจากการหยั่งเสียงของซีเอ็นเอ็นก็ยังปรากฎอีกเช่นกันว่า คนอเมริกันถึง 56% ไม่เห็นด้วยกับการสร้างกำแพงกั้นระหว่างสหรัฐฯกับแม็กซิโก อย่างไรก็ตามกรณีชัตดาวน์ในครั้งนี้ นับได้ว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การชัตดาวน์ของสหรัฐอเมริกา ที่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ข้าราชการทั้งแปดแสนกว่าคนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และหากขาดการผ่อนส่งก็ย่อมจะกระทบต่อคะแนนเครดิตอีกด้วย !!! การที่ประธานาธิบดีได้ออกมาเอ่ยปากขู่ว่า จะเอางบประมาณจากส่วนอื่นนำมาสร้างกำแพง กลับถูกต่อต้านอย่างหนักด้วยเช่นกัน กลายเป็นว่าคำขู่ของประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะเป็นเพียงลมที่พ่นออกมาจากปากของเขาเท่านั้น     กรณีข้อสงสัยที่ว่ารัสเซียเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งคราวที่แล้ว เพื่อเอื้ออำนวยให้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกเข้าสู่ทำเนียบขาวนั้น ปรากฎว่ามีข่าวทยอยออกมาตลอดเวลาว่าเหตุผลที่ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งปลดมร.เจมส์ โคเมย์ ผู้อำนวยการเอฟบีไอกระเด็นออกจากตำแหน่งกลางอากาศนั้น เนื่องมาจากเขาต้องการจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม กันมิให้มร.เจมส์ โคเมย์ สืบสวนในเรื่องนี้อีกต่อไป ทั้งยังมีกระแสข่าวออกมาว่าขณะนี้อัยการพิเศษโรเบิร์ต มูลเลอร์ พร้อมแล้วที่จะเขียนบทสรุปรายงานที่เขาได้ สอบสวนในคดีที่มีรัสเซียเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยประธานาธิบดีทรัมป์อาจกำลังหวั่นวิตกว่า จะโดนข้อหาใดข้อหาหนึ่ง จึงเป็นผลให้เขาพยายามสกัดกั้นโจมตีอัยการพิเศษมูลเลอร์อยู่ตลอดเวลา!!!    โดยอัยการพิเศษมูลเลอร์ยังได้ออกมาชี้แจงว่า การสอบสวนเกี่ยวกับกรณีรัสเซียเข้ามาเกี่ยวข้องกับการครั้งเลือกตั้งของเขาในครั้งนี้มิใช่เป็นการล่าแม่มด "Witch Hunt"แต่อย่างใด ซึ่งถือว่าสวนทางกับการกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างสิ้นเชิง  ส่วนวิลเลียม บารร์ ผู้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอชื่อเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อวันอังคารที่เพิ่งผ่านมานี้เขาได้ถูกคณะกรรมาธิการตุลาการของวุฒิสภาซักฟอก โดยเขาชี้ว่า "รัสเซียน่าจะมีส่วนเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งเมื่อปี 2016" และเขายังเอ่ยปากยืนยันออกมาว่า "จะให้อัยการพิเศษมูลเลอร์ปฏิบัติหน้าที่จนแล้วเสร็จ"  และวิลเลียม บารร์ ก็ยังได้ออกมาย้ำอีกว่า "เขาจะทำหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยยึดเอาความถูกต้องเป็นหลัก และจะไม่ทนกับเหล่าคนพาล" เท่ากับว่า เขาคงจะพูดอย่างเลี่ยงๆโดยมิได้มุ่งตรงไปที่ประธานาธิบดีทรัมป์!!!    ตอนหนึ่งวิลเลียม บารร์ ได้กล่าวว่า "เขาเป็นเพื่อนกับมูลเลอร์มานานกว่าสามสิบปี และมั่นใจว่า มูลเลอร์เป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรีสูง และทำอะไรอย่างตรงไปตรงมา"       อีกทั้งวิลเลียม บารร์ยังได้สัญญาว่า "เมื่อเขาได้รับรายงานผลสรุปจากอัยการพิเศษมูลเลอร์แล้ว เขาจะส่งรายงานถึงสภาคองเกรสและจะแจ้งให้ประชาชนคนอเมริกันรับทราบ"     หากเป็นเช่นนี้จริงก็เท่ากับว่า วิลเลียม บารร์ อาจจะเป็นหอกข้างแคร่ของประธานาธิบดีทรัมป์อีกหนึ่งเล่มใหญ่เลยทีเดียว และการพูดอย่างตรงไปตรงมาต่อคณะกรรมาธิการตุลาการวุฒิสภาเมื่อวันอังคารนี้ดูเหมือนว่าเขาคงได้รับการรับรองให้รับตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรมอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามค่ายพรรคเดโมแครตยังคงกังวลว่า วิลเลียม บารร์ อาจจะหมกเม็ดเก็บเอารายงานของมูลเลอร์ไปแช่ไว้บนหิ้งตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการก็ย่อมเป็นไปได้ และอย่าลืมว่าวิลเลียม บารร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะนักกฎหมายสายอนุรักษ์นิยม และยังเคยเขียนโจมตีอัยการพิเศษโรเบิร์ต มูลเลอร์ มาแล้วอีกด้วย และข่าวล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้เปิดเผยว่า การที่ประธานาธิบดีทรัมป์พบปะกับประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียถึงห้าครั้งนั้น แต่กลับปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์พยายามจะปกปิดประเด็นที่มีการเจรจาพูดคุยกัน โดยเขายังได้ยึดเอาโน็ตของคนที่ช่วยนั่งแปลไปอีกด้วย ซึ่งการกระทำเยี่ยงนี้ถูกตีความว่า"ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาทางด้านความมั่นคงปลอดภัยเลย แต่กลับอำนวยผลประโยชน์ให้แก่รัสเซีย"  อีกทั้งประธานคณะกรรมการหลายคณะของพรรคเดโมแครตที่ดำริว่าจะซักฟอก นายไมเคิล โคเฮน อดีตทนายความส่วนตัวของประธานาธิบดีทรัมป์กรณีที่เขาสั่งการให้นายไมเคิลจ่ายเงินปิดปากให้กับดาราหนังเรทเอ็กซ์และนางแบบสาวหนังสือปลุกใจเสือป่าเพลย์บอยที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไปกุ๊กกิ๊กมีเพศสัมพันธ์กับสองสาวนี้ เพื่อต้องการมิให้มีเรื่องฉาวโฉ่ และจากนี้เป็นต้นไปประธานกรรมาธิการชุดต่างๆของพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนจะเร่งขับเคลื่อนสอบสวนพฤติกรรมต่างๆของประธานาธิบดีทรัมป์ในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาทางที่จะปลดประธานาธิบดีทรัมป์ให้กระเด็นออกจากตำแหน่ง!!! กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเผชิญศึกหลายๆแนวพร้อมๆกันและดูเหมือนว่าเขากำลังดิ้นพล่านเหมือนปลาขาดน้ำ ก็อาจจะเป็นเพียงเพราะต้องการสร้างแผนแห่งความรอด เพื่อให้มีข่าวอื่นๆขี้นมาเบี่ยงเบนความสนใจอาทิเช่น สร้างกระแสกรณีชัตดาวน์ขึ้นมา เพราะปัญหาการสมรู้ร่วมคิดกับทีมรัสเซียกำลังสาวเข้ามาประชิดตัวเขาทุกๆวัน และการที่วิลเลียม บารร์จะเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรียุติธรรมคนใหม่ ก็อาจจะเป็นดาบสองคมเชือดเชือนต่อประธานาธิบดีทรัมป์อย่างคาดการณ์ไม่ถึงอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้ละครับ