ครม.ไฟเขียว ยืดอายุบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 อีก 6 เดือน พร้อมปรับรูปแบบกดเงินสดได้ เริ่ม ก.พ.นี้
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองและโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) จ.ลำปาง มีมติเห็นชอบขยายมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 ต่อไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่เดือนม.ค.ถึงมิ.ย. เพื่อให้การสนับสนุนและส่งเสริมโอกาสในการพัฒนาตนเองของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และก่อให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพและการมีรายได้ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะยังคงได้รับการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท จะได้รับเงิน 200 บาทต่อคนต่อเดือน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 – 100,000 บาท จะได้รับเงิน 100 บาท โดยใช้งบประมาณจากเงินกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเดิม วงเงิน 4,370 ล้านบาท (ประมาณ 728 ล้านบาทต่อเดือน) เพื่อดำเนินการต่อไป
นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเดิมกรมบัญชีกลางจะโอนเงินใส่ลงในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อเป็นวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรมในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โดยผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับเดือนละ 300 บาท ส่วนผู้มีรายได้เกิน 30,000 บาท ได้รับ 200 บาทต่อเดือน เปลี่ยนเป็นสามารถกดเงินสดได้ผ่านตู้เอทีเอ็มสาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะแบ่งเป็นสามารถกดเงินสดได้เดือนละ 200 บาท และอีก 100 บาทสำหรับซื้อสินค้าร้านธงฟ้าประชารัฐ ส่วนผู้มีรายได้เกิน 30,000 บาท จะแบ่งเป็นสามารถกดเงินสดได้เดือนละ 100 บาท และอีก 100 บาทสำหรับซื้อสินค้าร้านธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะดำเนินการระหว่างช่วงเดือนก.พ.ถึงเม.ย. เพราะในช่วง 3 เดือนนี้ เป็นช่วงต้นปีที่ประชาชนมีการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น นอกเหนือจากสินค้าภายในร้านธงฟ้าประชารัฐและช่วยลดภาระประชาชน
ทั้งนี้ผลการติดตามความคืบหน้าการพัฒนาตนเองของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ข้อมูลสิ้นปี 2561 พบว่า ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้าร่วมมาตรการฯ 4.1 ล้านราย ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหลุดพ้นจากเส้นความยากจนหรือมีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปี จำนวน 1,566,353 ราย แบ่งเป็นมีรายได้มากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 1,451,237 ราย (ก่อนพัฒนามี 553,626 ราย) และรายได้เกินกว่า 100,000 บาทต่อปี จำนวน 115,116 ราย (ก่อนพัฒนามี 0 ราย) และสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ผ่านการพัฒนาแล้ว แต่ยังมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 1,012,727 ราย คงเหลือ 1,040,842 ราย (ก่อนพัฒนามี 2,053,569 ราย) หรือคิดเป็นร้อยละ 50