“โบซิดาร์ บันโดวิช” หัวหน้าผู้ฝึกสอน สโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กล่าวว่า เชื่อว่าเทคโนโลยี Video Assistant Referee (VAR) จะช่วยสร้างความยุติธรรมให้กับการแข่งขันฟุตบอลโตโยต้า ไทยลีก ได้อย่างแน่นอน แต่ต้องพยายามพัฒนาหรือยกระดับการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินควบคู่ไปด้วย โดยประเทศไทยนั้น ถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียน ที่นำเทคโนโลยี VAR เข้ามาใช้ในการแข่งขันฟุตบอลลีกในประเทศอย่างเป็นทางการ หลังมีการนำร่องมาใช้ในฤดูกาล 2018 ที่ผ่านมา "การมี VAR ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันทำให้เกิดความยุติธรรมขึ้นกับทุกทีม ทั้งเรื่องของจังหวะการได้ประตูว่าเข้าหรือไม่เข้า รวมถึงการตัดสินใจของผู้ตัดสินในหลายๆ สถานการณ์ที่อาจไม่ชัดเจนก็สามารถนำภาพกลับมาดูและตัดสินได้อย่างถูกต้อง" อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญนอกจาก VAR คือตัวของผู้ตัดสิน ที่ต้องมีการเตรียมตัวให้ดี เพื่อเป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับผู้ฝึกสอนและตัวนักกีฬา ทุกคนต่างต้องการความถูกต้องและชัดเจน โดยเฉพาะการอธิบายกฎต่างๆ เพราะบางครั้งผมรู้สึกว่าผู้ตัดสิน ควรจะทำได้ดีกว่านี้ เนื่องจากที่ผ่านมา หลายคนขาดการเตรียมตัว อย่างเช่นเมื่อเราถาม พวกเขาไม่สามารถอธิบายให้เราเข้าใจอย่างชัดเจน ตรงนี้สำคัญมากๆ "VAR ช่วยให้ฟุตบอลลีกในประเทศพัฒนาขึ้น แต่ถ้าผู้ตัดสินไม่พัฒนาตาม ทุกอย่างก็จะหยุดอยู่กับที่ เราเข้าใจว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่ถ้าตั้งใจ ผมเชื่อว่าเราจะทำได้" นอกจากนี้อีกปัจจัยคือเรื่องการล้มบอล ซึ่งตนเองมั่นใจว่า VAR จะช่วยได้ เพราะการแข่งขันฟุตบอล แค่เหตุการณ์เดียวสามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ออกมาได้ทันที ทุกคนต้องการฟุตบอลที่ใสสะอาด ไม่มีข้อครหา แต่ก็ต้องเข้าใจว่าบางครั้งมนุษย์ก็สามารถก่อความผิดพลาดขึ้นมาได้ ซึ่ง VAR จะเข้ามาช่วยเหลือให้มันสมบูรณ์แบบ สำหรับ เทคโนโลยี VAR จะใช้ตัดสินสถานการณ์จำนวน 4 สถานการณ์ ได้แก่ 1. เป็นประตู/ไม่เป็นประตู (ข้ามเส้นไม่ช้ามเส้น, มีการฟาวล์ก่อน, ล้ำหน้า, ลูกบอลออกสนามก่อนเข้าประตู) 2. จุดโทษ/ไม่จุดโทษ (ตำแหน่งของการฟาวล์, ฝ่ายรุกทำฟาวล์ก่อน, ลูกบอลออกนอกสนามก่อนการฟาวล์, การที่ผู้รักษาประตูหรือผู้ยิงประตู ทำผิดกติกาขณะเตะจุดโทษ) 3. ใบแดงโดยตรง (เจตนาป้องกันประตูผิดกติกาอย่างตั้งใจ, การทำผิดกติกาอย่างร้ายแรง เช่น ถ่มน้ำลาย, ดูหมื่น และ ใช้วาจาไม่สุภาพ) 4. ระบุตัวผู้เล่นผิดพลาด (เมื่อผู้ตัดสินคาดโทษหรือไล่ออกผู้เล่นผิดคน)