“กฤษฏา" จี้สำรวจพื้นที่เกษตรภาคใต้ เร่งช่วยเหลือความเดือดร้อน จากพายุ "ปาบึก" ถล่มเสียหายทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ และประมงภายใน 30 วัน จ่ายเงินเยียวยาถึงมือเกษตรกรภายใน 15 วัน วันนี้ (11 ม.ค.62) นายกฤษฏา บญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการศูนย์อํานวยการและบัญชาการสถานการณ์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ศอบ.กษ.) พายุโซนร้อนปาบึกว่า จะต้องเร่งสำรวจและประเมินความเสียหายด้านการเกษตรทันที เนื่องจากขณะนี้กรมชลประทาน ได้รายงานว่า สถานการณ์น้ำเข้าสู่สภาวะปกติเกือบทุกพื้นที่แล้ว คงเหลือที่ยังมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำอีกเพียงบางแห่งซึ่งจะระบายน้ำได้ทั้งหมดภายใน 7 วัน โดยให้สำรวจทั้งด้านพืช ประมงและปศุสัตว์เป็นรายอำเภอ จัดทำชุดข้อมูลเพื่อประกอบการเสนอกองบัญชาการบรรเทาสาธารณภัย กชภอ.และ กชภช.พิจารณาประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และเร่งดำเนินการจัดทำเอกสารตามขั้นตอนของระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกษตรกร กำหนดให้สำรวจให้ครบถ้วนภายใน 30 วัน จากนั้นเร่งดำเนินการเพื่อให้เกษตรกรได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายภายใน 15 วันหลังการสำรวจ ทางด้านพืชนั้น กรมส่งเสริมการเกษตรรายงานว่า มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 11 จังหวัด รวม192,485 ไร่ ได้แก่ นาข้าว 34,567 ไร่ พืชไร่ 3,884 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 154,034 ไร่ ทั้งนี้การช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ. 2556 ในกรณีเสียหายสิ้นเชิงจะให้ความช่วยเหลือรายละไม่เกิน 30 ไร่ โดยข้าวชดเชย 1,113 บาท พืชไร่ 1,148 บาท พืชสวน 1,690 บาท ช่วยเหลือค่าขนย้ายดินโคลน ไร่ละไม่เกิน 7,000 บาท รายละ 5 ไร่ ช่วยเหลือค่าปรับเกลี่ยพื้นที่ช่วยเหลือ ไร่ละ 700 บาท ไม่เกิน 30 ไร่ และค่าเครื่องมือประกอบอาชีพ ไม่เกินครัวเรือนละ 11,000 บาท การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้สำรวจความเสียหายต่อสวนยางพาราพบว่า มีเกษตรกรได้รับผลกระทบ 5,475 ราย พื้นที่ 17,379 ไร่ เกือบทั้งหมดอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช และมีเสียหายในจังหวัดอื่นๆ ประปราย โดยการจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ประสบวาตภัยให้รายละ 3,000 บาท ถ้าสวนเปิดกรีดแล้วเสียสภาพสามารถขอทุนปลูกแทนใหม่ไร่ละ 16,000 บาท กรณีอยากเปลี่ยนอาชีพการเกษตรอื่นช่วยเหลือไร่ละ 10,000 บาท ตามโครงการพัฒนาอาชีพชาวสวนยางรายย่อยเพื่อความยั่งยืน กรณีสวนสงเคราะห์เสียหายซึ่งยังไม่เปิดกรีดจ่ายค่าปลูกซ่อมต้นละ 45 บาท ส่วนกรณี ต้นยางอายุ 2-3 ปี เอนล้มจ่ายค่าค้ำยันต้นละ 55 บาท และสำหรับต้นยางอายุเกิน 3 ปีที่เอนล้ม จ่ายค่าค้ำยันต้นละ 110 บาท ด้านประมง 7 จังหวัด มีเกษตรกรได้รับผลกระทบ 6,600 กว่าราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตวน้ำ คาดว่าจะเสียหาย 24,000 ไร่ ลักษณะความเสียหาย ปลาที่เลี้ยงในกระชังถูกคลื่นซัดได้รับความเสียหาย สัตว์น้ำที่เลี้ยงในบ่อถูกน้ำท่วม ซึ่งการจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้รายละไม่เกิดน 5 ไร่ โดยปลาให้ 4,225 บาทต่อไร่ กุ้ง/ปู หอย ทะเล 10,920 บาทต่อไร่ ส่วนที่เพาะเลี้ยงในกระชังให้กระชังละ 315 บาทต่อตารางเมตร ไม่เกินรายละ 80 ตารางเมตร ส่วนเรือประมงประสบภัย 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช ระนอง สงขลา ปัตตานีจำนวน 86 ลำ โดยเรือประมงพื้นบ้านส่วนใหญ่เป็นเรือที่จอดบริเวณชายหาด น้ำเข้าเครื่องยนต์เรือ สามารถถอดมาล้างและใช้งานได้ เปลือกเรือแตกเนื่องจากเรือกระแทกกันขณะจอด สามารถซ่อมแซมได้ ในขณะนี้กรมประมงเร่งตรวจสอบความเสียหายและเตรียมช่วยเหลือเรือประมงตามระเบียบกรมประมง พ.ศ. 2541/ตามระเบียบก.คลัง พ.ศ. 2556 ซึ่งกำหนดว่า กรณีเรือความยาวไม่เกิน 10 เมตร ช่วยเหลือ ค่าซ่อมแซมเรือและอุปกรณ์ ไม่เกิน ลำละ 20,000 บาท กรณีเรือจม ช่วยเหลือค่ากู้เรือ ค่าซ่อมแซมเรือและอุปกรณ์ ไม่เกิน ล้าละ 30,000 บาท กรณีเรือสูญหาย/เสียหายมาก ซ่อมแซมไม่ได้ ช่วยเหลือ ล้าละไม่เกิน 66,000 บาท กรณีเรือความยาวเกิน 10 เมตร ช่วยเหลือ ค่าซ่อมแซมเรือและอุปกรณ์ ไม่เกิน ล้าละ 70,000 บาท กรณีเรือจม ช่วยเหลือค่ากู้เรือ ค่าซ่อมแซมเรือและอุปกรณ์ ไม่เกิน ล้าละ 95,000 บาท กรณีเรือสูญหาย/เสียหายมาก ซ่อมแซมไม่ได้ ช่วยเหลือ ล้าละไม่เกิน 200,000 บาท กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์การช่วยเหลือตามระเบียบกรมประมงฯ ให้ช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ค่าเครื่องมือประกอบอาชีพ ไม่เกินครัวเรือนละ 11,000 บาท ส่วนกรมปศุสัตว์ รายงานรายงานผลกระทบด้านปศุสัตว์ 10 จังหวัดคือ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี นราธิวาส ปัตตานี สงขลา ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร พัทลุง ตรัง และยะลา รวม 42 อำเภอ 216 ตำบล 1,068 หมู่บ้าน มีเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ได้รับผลกระทบจำนวน 47,858 ราย มีสัตว์ได้รับผลกระทบได้แก่ โค 90,666 ตัว กระบือ 2,704 ตัว สุกร 92,042 ตัว แพะ/แกะจำนวน 21,411 ตัว สัตว์ปีกจำนวน 2,457,860 ตัว และแปลงหญ้าเลี้ยงสัตว์ 3,609 ไร่ สำหรับผลกระทบที่สัตว์ตายหรือสูญหายเป็นของเกษตรกร 119 ราย ได้แก่ โค 59 ตัว กระบือ 16 ตัว สุกร 3 ตัว แพะ/แกะ 134 ตัว และสัตว์ปีก 2,797 ตัว รวมทั้งมีค่าซ่อมแซมคอกสัตว์และโรงเรือนครัวเรือนละไม่เกิน 5,000 บาท และช่วยเหลือค่าเครื่องมือประกอบอาชีพไม่เกิน 11,000 บาทต่อครัวเรือน