“ทนายตั้ม”พาผู้เสียหายร้องกองปราบฯเอาผิดอัจฉริยะและตำรวจ ยศ พ.ต.ท. ทำพยานหลักฐานเท็จ กบเกลื่อนความผิดล้วงข้อมูลทะเบียนราษฎร์โดยมิชอบ จากกรณีที่ นายเศรษฐ์ เดชสุภา และ น.ส.รักชนก เจริญมากสุวรรณ เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.บางปะอิน ภายหลังถูกนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และตำรวจยศ พ.ต.ท. ของ สภ.บางปะอิน ร่วมกันนำข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ไปเผยแพร่บนโลกออนไลน์จนเกิดความเสียหาย เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ปี 2561 ตามที่ได้เคยมีการนำเสนอเป็นข่าวไปแล้วนั้น สำหรับความคืบหน้ากรณีดังกล่าวล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 ม.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนาย ตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พร้อมด้วย นายเศรษฐ์ เดชสุภา อายุ 37 ปี น.ส.รักชนก เจริญมากสุข อายุ 42 ปี แฟนสาวเดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล รองผกก.สอบสวน กก.2บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และพวก ในข้อหา สมคบกันทำหลักฐานเท็จ และปลอมแปลงเอกสารราชการ โดยนำเอกสารหลักฐานเป็นสำเนาการลงบันทึกประจำวัน สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา และข้อความสนทนาในแอพพลิเคชั่นไลน์และเพจเฟซบุ๊ค มามอบไว้เพื่อประกอบการพิจารณา นายเศรษฐ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้นายอัจฉริยะ ได้มีข้อพิพาทกับเพจเฟซบุ๊คที่ชื่อว่า “กะโหลกแดง หรือ Red Skull” และเกิดเข้าใจผิดคิดว่าตนเองนั้นเป็นเจ้าของเพจ ซึ่งจริงๆแล้วตนเป็นเพียงลูกเพจเพียงเท่านั้น นายอัจฉริยะจึงเข้าไปล้วงเอาข้อมูลส่วนตัวและรูปภาพของ น.ส. รักชนก แฟนสาวตน จากในทะเบียนราษฎร์ ก่อนนำไปโพสต์ลงในกลุ่มไลน์หรือเพจต่างๆ พร้อมกับโพสต์ข้อความในเชิงดูถูกเหยียดหยามเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา จนมีเพื่อให้คนเข้ามาโพสต์ข้อความดูหมิ่นเป็นจำนวนมาก ทำให้ตนและแฟนสาวได้รับความเสื่อมเสียจึงไปปกป้องสิทธิ์ด้วยการไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ตนและแฟนสาวได้เข้าแจ้งความไว้นั้นกลับพบว่ามีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยศ พ.ต.ท. ตำแหน่งรอง ผกก. ท่านหนึ่ง กลับให้การช่วยเหลือนายอัจฉริยะ เพื่อให้การกระทำของนายอัจฉริยะ ในการตรวจสอบข้อมูลของตนและแฟนสาวจากทะเบียนราษฎร์นั้นเป็นการกระทำที่ถูกต้องโดยชอบธรรม นายษิทรา กล่าวว่า หลังจากที่ผู้เสียหายทั้ง 2 คนได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.บางปะอิน เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องการคัดทะเบียนราษฎร์โดยผิดกฎหมาย โดยหลังจากที่แจ้งความแล้ว กลับพบว่ามีขบวนการที่ทำให้การคัดทะเบียนราษฎร์ออกมานั้นถูกต้องโดยชอบธรรม โดยการแก้ไขเอกสารบันทึกประจำวันย้อนหลังว่ามีการลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนแล้วเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนนี้เรามีหลักฐานสำคัญยืนยันได้ว่าวันดังกล่าวนายอัจฉริยะไม่ได้ไปแจ้งความจริง แต่ไปหลังจากที่นายเศรษฐ์และแฟนสาวไปแจ้งความเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายษิทรา กล่าวต่อว่า เพราะจากการตรวจสอบการลงบันทึกประจำวันดังกล่าวกลับพบพิรุธหลายอย่างคือ ในบันทึกแจ้งความแผ่นที่ 100 ซึ่งเป็นแผ่นสุดท้ายของเล่ม มีบุคคลเข้ามาแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ระบุเวลา 13.08 น. วันที่ 28 พ.ย.2561 ก่อนที่ต่อมาจะมีการลงบันทึกประวันในเวลา 15.00 น. ซึ่งระบุชื่อของนายอัจฉริยะเป็นผู้แจ้ง แต่เมื่อไปดูบันทึกประจำวันอีกเล่มหนึ่งที่ต้องต่อเนื่องกับเล่มนี้ในแผ่นแรกกลับพบว่ามีการลงบันทึกประจำวันอีกเคสหนึ่งในเวลา 13.30 น. ของวันเดียวกัน ซึ่งตัวเลขของเวลาที่ระบุในการแจ้งความในบันทึกประจำวันค่อนข้างขัดแย้งกัน เพราะตามปกติแล้ว ก่อนการลงบันทึกประจำวัน อย่างไรก็ตามจะต้องมีการตรวจสอบแล้วว่าการลงบันทึกประจำวันครั้งสุดท้ายคือเวลาไหน และการลงบันทึกประจำวันเมื่อลงหมดแผ่นจะต้องไปขึ้นหน้าใหม่ จะไม่มีการเขียนเบียดกันเพื่อให้พอหน้า และพิรุธอีกอย่างคือผู้แจ้งไปลงชื่ออยู่ทางด้านซ้ายซึ่งโดยปกติเป็นไปได้น้อยมาก ตามระเบียบตำรวจก็ไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากนี้คนที่ไปลงบันทึกประจำวันให้ก็เป็นระดับรองผู้กำกับ ทั้งที่ตามปกติผู้ลงบันทึกจะเป็นร้อยเวร และผู้มีหน้าที่บันทึก(สิบเวร) ตนและผู้เสียหายจึงมาแจ้งความเอาผิดนายอัจฉริยะ และตำรวจระดับรองผู้กำกับ ในข้อหาร่วมกันทำพยานหลักฐานเท็จ และปลอมแปลงเอกสารราชการปลอม พร้อมนำหลักฐานมามอบให้กับทางพนักงานสอบสวน และต้องการให้สอบบุคคลที่เกี่ยวข้องในวันที่เขาอ้างว่าไปแจ้งความในวันที่ 28 พ.ย. 2561 ด้วย ทั้งนี้เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาพร้อมกับสืบหาข้อเท็จจริง ก่อนจะทำการสอบปากคำผู้เสียหายไว้เป็นหลักฐานก่อนนำไปพิจารณาควบคู่กับพยานหลักฐานที่ผู้เสียหายนำมามอบให้ ก่อนส่งต่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป