เรื่องปฏิวัติรัฐประหาร เป็น"ของแสลง" ของตลาดหุ้นไทยมาแต่ไหนแต่ไร สมัยเมื่อ 30 ปีก่อน ถ้าอยากให้ "หุ้นตก" จะมีมือดี "ปล่อยข่าวลือ" เข้ามาในตลาด และเกิดขึ้นบ่อยๆ ซ้ำๆ แถมได้ผลทุกครั้งเสียด้วย แต่ระยะหลังมานี้ การปล่อยข่าวลือไม่ค่อยได้ผลเพราะมีสังคมโซเชี่ยว การตรวสอบข่าวคราวต่างๆ จึงทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น การใช้ข่าวอินไซด์ "ทุบหุ้น"เลยไม่ค่อยมีผล จึงต้องว่ากันด้วย "ของจริง" ล้วนๆ เห็นหลายสำนักวิเคราะห์ว่า "ข่าวเลื่อนเลือกตั้ง"ไม่ค่อยมีผลต่อตลาดซักเท่าไหร่ ถ้าดูการเทรดหลังประกาศเลื่อนเลือกตั้งในช่วงบ่าย ก็น่าจะเป็นไปตามกระแสตลาดโลกเป็นหลัก การที่หุ้นตก -5 จุด หลังจากทราบข่าวเรื่องเลื่อนเลือกตั้ง คงไม่ใช่เหตุทั้งหมด แต่ถ้าดูยอดขายของฝรั่ง ขายสุทธิ 3,962.17 ล้านบาท ถือว่า ขายเยอะพอสมควร และไม่รู้ว่าจะขายต่ออีกหรือเปล่า? เรื่องราวของตลาดหุ้นว่ากันตรงๆ "ความเชื่อมั่น"สำคัญมาก ถ้าขาดตัวนี้ไป อะไรก็ฉุดไม่อยู่! ถึงแม้การเลือกตั้งอาจจะเลื่อนออกไปเพียง 1 เดือน แต่ถามใจคนไทยเลยว่า มั่นใจแค่ไหนว่าจะไม่เลื่อนอีก เพราะครั้งนี้น่าจะเป็น"ครั้งที่ 6" เข้าไปแล้ว! ขนาดคนไทยยังหาความมั่นใจกันไม่ได้ แล้วฝรั่งตาน้ำข้าว คงไม่ต้องพูดถึงหรอก มันเผ่นแน่! มีบางกลุ่มบอกว่า ฝรั่งน่าจะไม่มีของขายแล้ว เพราะตั้งแต่ปีที่แล้วขายมาเกือบ 3 แสนล้าน น่าจะหมดของ ไม่รู้ว่าคนพูดไปเอาข้อมูลมาจากไหนที่ว่า "ฝรั่งหมดของ"หลับหูหลับตาทำนายเป็นโหรโคนมะขามไปโน่นเลย ตัวเลขการถือหุ้นอย่างเป็นทางการของฝรั่ง น.ส.สุมิตรา ตั้งสมวรพงษ์ ฝ่ายวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผย SET Note เรื่อง Foreign Holding 2017 เปิดพอร์ตการถือครองหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติปี 2560 โดยระบุว่า มูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ เปิดทำการมา โดย ณ สิ้นเดือน ส.ค.60 มูลค่าการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติรวมสูงถึง 4.78 ล้านล้านบาท สรุปต่างชาติยังเหลือหุ้นให้ขายอีกเยอะ ที่ขายไปตอนนี้ยังไม่ถึง 10% ของพอร์ตเลยด้วยซ้ำ! ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ไม่แน่นอน โอกาสที่ฝรั่งจะเผ่นยังมีความเป็นไปได้สูง เพราะตลาดอื่นรอบๆ บ้านเรายังน่าลงทุนกว่า มีปัจจัยเสี่ยงน้อยกว่า เขาไปเล่นตรงอื่นก่อนก็ได้ ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ทางการเมืองล่าสุด คือ กรณี "ปฏิวัติรัฐบาลยิ่งลักษณ์"ตอนนั้นหุ้นกลับไม่ลง วิ่งสวนขึ้นไปได้ถึง 200 จุด คือวิ่งจาก 1,400 จุด ขึ้นไป 1,600 จุด จากวันที่ 22 พ.ค.57 ไป Peak ในช่วงเดือนพ.ย. เพราะ "กองทุน + รายย่อย"พากันลากหุ้นขึ้นมา ด้วยความเชื่อมั่นว่า หลังจาก"รัฐบาลบ้านนอก"ตกกระป๋องไป ในเวลาอีกไม่นานประเทศไทยจะได้"รัฐบาลผู้ดี"เข้ามาบริหารประเทศเหมือนทุกครั้งที่เกิดการปฏิวัติ! แต่รอบนี้ "คิดผิด" ทุกอย่างไม่เป็นตามคาด พอเข้าเดือน ธ.ค.ดูเหมือนว่า "รัฐบาลลุงตู่"ทำท่าจะอยู่ยาว ฝรั่งที่จ้องจังหวะขายอยู่ เริ่มกระหน่ำขายออกมา เพราะท่าทีไม่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะได้เลือกตั้งอีกเมื่อไหร่ ดัชนีทรงๆ ทรุดๆ และหลังจากวันที่ 16 ก.พ.58 เป็นต้นมา ฝรั่งทิ้งหุ้นแบบไม่หันหลังกลับ หุ้นเริ่มหลุดจาก 1,600 จุด ไปทำ low ที่ 1,255.10 ในวันที่ 11 ม.ค. 59 เท่ากับว่า ฝรั่งขายรวดเดียวเกือบ 1 ปี ต่อมาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น และตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะอาเซียนที่เนื้อหอมกว่าเพื่อน ค่าเฉลี่ย GDP กลุ่ม ตปีละ 5 - 6% เงินทุนหลั่งไหลเข้ามา ไทยก็เกาะกลุ่มขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับท่าทีที่รัฐบาล คสช.ไม่ปิดประเทศ และทำตามข้อเรียกร้องของต่างชาติในหลายด้าน โดยเฉพาะการยอมรับกฎของ EU ในเรื่องกฑ IUU หรือ “มาตรการการจัดระเบียบด้านประมง” ที่มองว่า การทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือ Illegal, Unreported and Unregulated (IUU) Fishing ซึ่งไทยโดนใบเหลืองมาตั้งแต่ คสช.เข้าคุมอำนาจ และ EU ใช้ กฎ IUU เข้ามาบีบรัฐบาล คสช.ให้ปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้ ต่อมาไทยได้ออกกฎหมายประมงหลายรายการ โดยเฉพาะ พ.ร.ก.การประมง 2558 ให้สอดคล้องกับ IUU จนฝรั่งเริ่มยอมรับ ในสมัยก่อนมีคำพูดกันเล่นๆในตลาดหุ้นบ่อยๆว่า ยุบลด 10% ปฏิวัติลด 6% แต่"เลื่อน"ยังไม่เคยมีใครพูดถึง แต่สถานการณ์ที่ "ยืดเยื้อเรื้อรัง" น่าจะน่ากลัวยิ่งกว่าปฏิวิติ หรือยุบสภา ซะอีก เพราะไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคตได้ว่า หนทางข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีก ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้น การที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ตลาดหุ้นเป็นขาลงอย่างทุกวันนี้ กลับยิ่งทำให้อนาคตตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมืดมัวพอๆ กับท้องฟ้าที่มืดครึ้มจากพายุปาบึก ที่บังเอิญเอามากๆตรงที่สถานการณ์ในปัจจุบัน ดันไปตรงกับสถานการณ์ "น้ำมันดิ่งเหว" ในปลายปี 2557 ปี ปฏิวัติยิ่งลักษณ์พอดีเป๊ะๆ ดัชนีปลายปี 2557 ไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1,600 จุดได้ แต่กลับทรุดลงไปต่ำกว่า 1,500 จุด ทรุดลงต่อเนื่องถึง 5 วันทำการติด การปรับตัวลงครั้งใหญ่ของตลาดหุ้นในครั้งนั้น เกิดจากผลกระทบราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ฉุดให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปักหัวลง และทำให้ตลาดหุ้นไทยทรุดตาม ราคาน้ำมันตลาดโลกก่อนหน้าเคยเคลื่อนไหวในระดับบาร์เรลละ 100 เหรียญ แต่ร่วงลงมาม้วนเดียวเหลือแค่ 57 เหรียญ สถานการณ์เหมือนตอนนี้ไม่มีผิดที่ราคาน้ำมันดิ่งเหว จาก 76 เหรียญ ลงมาเหลือ 45 เหรียญ เอาเป็นว่า ตลาดหุ้นไทย โดน 2 แรงบวก จากปัจจัยทั้งภายนอก และภายใน ปัจจัยภายนอกก็สภาวะเศรษฐกิจโลกขาลง ราคาน้ำมันตก ดอกเบี้ยขึ้น ปัจจัยภายใน คือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ทุกอย่างตกอยู่ในสภาพ...ยื้อ! นาทีนี้หุ้นไทยผงกหัวได้งึกๆ งักๆ ก็ถือว่าเก่งแล้ว...เล่นสั้นๆ แล้วเผ่น ดีที่สุด! ขอขอบคุณข้อมูลจาก Victor Share2Trade.com