การลงทุนในตลาดหุ้นเปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมที่จะต้องคอยเฝ้าดูว่าบริษัทจะมีกำไรหรือขาดทุน หรือมาดูว่าบริษัทจะลงทุนอะไรเพิ่มเติมบาง แต่ทุกวันนี้กลับกลายเป็นว่าต้องมาเฝ้าดูกันว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลก...สหรัฐฯกับจีนจะยังคงหาเรื่องทะเลาะกันต่อหรือเปล่า วันนี้จะมีสงครามที่ไหน...หรือแม้แต่บริษัทใหญ่ๆในสหรัฐฯจะได้กำไรหรือขาดทุน จากเดิมนักลงทุนแนว VI ต่างเชื่อมั่นว่า ถ้าซื้อหุ้นพื้นฐานดีจะยังไงซะก็ไม่ต้องกลัวขาดทุน..ปล่อยไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็มีปันผลหรือไม่ราคาหุ้นก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นมาเอง แต่มันเปลี่ยนไปแล้ว...ทุกวันนี้นักลงทุนแนว VI ทั้งหลายได้เปลี่ยนสภาพตัวเองเป็น “หมาล่าเหยื่อ” ด้วยการสร้างกลุ่มการเงินเพื่อลากราคาหุ้น ทำกันเป็นกระบวนการ มีการปล่อยข่าวว่าเป็นหุ้นตัวนั้นตัวนี้ดีเพราะมีนักลงทุนแนว VI “ตัวพ่อ” เข้าไปร่วมลงทุน ปั่นข่าวกันจนมีเหล่าสาวกนักลงทุนรายย่อยวิ่งตาม แต่สุดท้ายก็โดนท่านอาจารย์ VI ทั้งหลาย “ทุบซะเละ” ทั้งติดดอยทั้งขาดทุนกันระนาว ทุกวันนี้แม้แต่นักลงทุนแนวเดย์เทรดหรือเซียนเทคนิคที่ว่าเก่งๆทั้งหลายยังทันมาใช้เทคนิคเดียวกับนักลงทุน VI นั้นคือ การสร้างกลุ่มการเงินหาหุ้นมาปั่นเพื่อดูดเงินจากเหล่าสาวกที่หลงเชื่อทั้งนั้น...แน่นอนส่วนใหญ่คนพวกนี้มักถูกเรียกหรือให้คนเค้าเรียกตัวเองว่า “โค้ช” แถมช่วงนี้เห็นมีโค้ชใหม่ๆเกิดขึ้นมาซะด้วยสิ..บางคนเทรดหุ้นมาปีกว่าๆก็แปลงร่างเป็นโค้ชไปซะแล้ว ฟังว่าพอเป็นโค้ชแล้วได้เงินเยอะกว่าเทรดหุ้นเองซะด้วยนะครับ (ฮา) ยังมีเรื่องของเทคโนโลยีการใช้คำสั่งซื้อผ่าน AI หรือพวก Robot ทั้งหลายเข้ามาแทนที่การใช้คน..ว่ากันว่าตอนนี้คำสั่งซื้อนับกันถึงขนาด 100 Order/Nano SEC กันเลยทีเดียว(100 คำสั่งซื้อต่อ 1/1000 วินาที) ประมาณว่ากินสั้นๆกันแค่ช่องสองช่องแล้วทิ้ง เร็วจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้คน(Human) เคาะซื้อหรือขายกันด้วยซ้ำไป และในขณะเดียวกันยังมีเรื่องของ DW(Derivative Warrant)ที่เข้ามามีอิทธิพลในการเล่นหุ้นมากขึ้นอีกด้วย เนื่องจากทุกวันนี้การเล่นหุ้นกลายเป็นการลากราคาหุ้นแม่เพื่อขยับราคาหุ้นลูก เพราะแค่ราคาหุ้นแม่ขยับไม่กี่ช่องก็สามารถทำกำไรจาก DW ได้เพียบ สรุปจากนี้ไปจะเล่นหุ้นแบบเดิมคงทำไม่ได้แล้วครับ นักลงทุนยุคเก่าคงจะค่อยๆหายไปแบบที่เรียกกันว่าถูก Disruptions (ทำลายล้าง) ส่วนใครที่จะอยู่สู้ต่อก็คงต้องปรับตัวให้ทันนะครับ ขอขอบคุณข้อมูลจาก พี่รวย...มองตลาด Share2Trade.com