สำหรับปัจจัยด้านลบต่อตลอดหุ้นไทย 4 ประเด็น 1.ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ยังคงเป็นสาเหตุหลักที่กดดันทิศทางการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโลกแม้ว่าประเด็นการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีน วงเงิน 2 แสนล้านเหรียญ จาก 10% ขึ้นสู่ 25% จะเลื่อนการพิจารณาออกไป 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนดราว 1 มี.ค.2019 แต่ในระยะสั้นยังคงเห็นท่าทีอันแข็งกร้าวของ Donald Trump ดังนั้นเชื่อว่าปัญหานี้คงยังไม่สามารถคลี่คลายได้ในระยะสั้น ซึ่งจะเป็นจุดที่กดดันการลงทุนต่อเนื่องในปีนี้ 2.ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กดดันการลงทุนเข้าสู่โหมด Risk off จากประเด็นสงครามการค้าโลก ซึ่งหากยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง คาดจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงถัดไปมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ โดยล่าสุดหากพิจารณาในเชิงตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ของประเทศสำคัญเช่น GDP,PMI ทั้งภาคการผลิตและบริการล้วนพบการชะลอตัวลงอย่างเห็นชัด โดยในระยะสั้นจุดที่น่าติดตามคือ PMI ภาคการผลิต ของจีน ที่ล่าสุดเดือนพ.ย.ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50 จุด ถือเป็นจุด critical ซึ่งหากต่ำกว่านี้จะบ่งชี้การเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจหดตัว ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อการปรับฐานได้อีกครั้ง 3.ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบโลก โดยประเมินทุกๆราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวลดลง -1 เหรียญ มีโอกาสกดดันกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยรวมลดลงราว 5,000 ล้านบาท(ไม่คิดรวมผลกระทบจาก Stock loss) หรือคิดเป็นแรงกดดันต่อ 2019 SET EPS ราว -0.5 จุด ต่อราคาน้ำมันดิบที่ลดลง 1 เหรียญ (เราประเมิน 2019 SET EPS ที่ 116 บาทต่อหุ้น อิงสมมติฐานน้ำมันดิบปี 2019 เฉลี่ยที่ 70เหรียญต่อบาร์เรล) 4.การเลือกตั้งไทย 2562 สัญญาณการเลือกตั้งชัดเจนมากยิ่งขึ้น คาดเป็นแรงส่งต่อภาพรวมการลงทุนในช่วงแรก แต่อย่างไรก็ดีการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงการดำเนินนโยบายต่างๆในช่วงถัดไปจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ดังนั้นอาจต้องระมัดระวังหลังเลือกตั้งอาจเห็นสัญญาณการ"ปรับฐาน"ลงได้ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองแนวโน้ม SET Index ปี 2562 แนวต้าน 1750 จุด และแนวรับ 1550 จุด