ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ที่ถูกพูดถึงกันทั่วทุกทิศ เพราะเกิดสิ่งแปลกประหลาดขึ้นในทางการเมือง ชนิดที่เรียกว่า ทำเอาหลายคนถึงอึ้งไปตามๆกัน !

เมื่อ “ศัตรู” คู่แค้นในอดีต กลายกลับมาพบปะกัน จะด้วย “ไมตรีจิต” หรือการหมากกลอันซับซ้อนหรือไม่ก็ตาม 

แต่เมื่อ “เนวิน ชิดชอบ”  ประธานบริหารสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด  ผู้ทรงอิทธิพล เหนือพรรคภูมิใจไทย และ “สว.สายน้ำเงิน” เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ย่านจรัญสนิทวงศ์  เพื่อพบกับเจ้าของบ้านที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ผู้มากบารมีแห่งพรรคเพื่อไทย

หมายความว่าการโคจรกลับมาพบกันครั้งนี้ระหว่าง 2 ผู้ยิ่งใหญ่ เหนือรัฐบาล จะสาระอันใดที่สลักสำคัญมากไปกว่าการสะท้อนให้เห็นว่าวันนี้ “กระดานการเมือง” นั้นถูกกำหนดโดยใคร และนี่อาจเป็น “ขั้วอำนาจใหม่” ที่จะส่งผลต่ออนาคตรัฐบาลที่มี “แพทองธาร ชินวัตร” ลูกสาวของทักษิณ นั่งเป็นนายกฯคนที่ 31 ให้อยู่จนครบเทอม ยืนระยะไปถึงการเลือกตั้งปี 2570 เลยหรือไม่

แรกเริ่มเดิมที “ข่าวใหญ่” การพบปะกันระหว่างเนวิน กับ ทักษิณ เมื่อค่ำวันที่ 6 ต.ค.67  ถูกเปิดเรื่องผ่านรายการข่าวดัง ว่า งานนี้ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นคนพาเนวิน มุดเข้าถ้ำทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

แต่รอบแรกอนุทิน พยายามหลบเลี่ยงไม่ตอบคำถามสื่อ ใช้วิธีวนรถส่วนตัว เกือบรอบทำเนียบฯ และทิ้งท้ายการตอบคำถามเอาไว้สั้นๆ ว่า “เรื่องไร้สาระ”  !

ทว่าแค่ข้ามวัน ก็เป็นอนุทิน คนเดิมที่ออกมายอมรับกับสื่อที่ทำเนียบรัฐบาลเองว่าเขาคือคนที่พาเนวิน เข้าพบอดีตนายกฯทักษิณ จริง โดยเป็นการไปรับประทานอาหารและทักษิณ ยังมอบเสื้อแจ๊คเก็ตให้เป็นของขวัญวันเกิดย้อนกลับ เนวิน อีกด้วย พร้อมทั้งยืนยันว่าวลีที่ว่า “มันจบแล้วครับนาย” นั้นไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ

“มันไม่ได้โกรธอะไรกันเลย เรื่องที่บอกว่าโกรธ มันจบแล้วครับนาย ใครก็ไม่รู้ไปพูด ผมอยู่มาตั้ง 10 กว่าปี ไม่เคยได้ยินคำนี้ ไกลเกินไป กล้าพูดหรือถามจริง กับคนที่เป็นเจ้านายเรา มันจบแล้วครับนาย มันไม่มีหรอก ก็พูดมาไม่รู้กี่ที ก็ยังเอาคำนี้ มันไม่มีอะไรหรอก” (8 ต.ค.2567)

นัยยะการพบกันระหว่าง “ครูใหญ่เนวิน” กับ “นายใหญ่” แห่งพรรคเพื่อไทย ครั้งนี้นอกจากจะเป็นการตอกย้ำว่าการเมืองไทยอะไรๆก็สามารถเกิดขึ้นได้ ความขัดแย้ง ความบาดหมางชนิดที่จะหวังฟาดฟันกันให้ตายเสียข้างหนึ่ง อาจไม่ใช่ทางออก หรือทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้นเสมอไป เพราะแม้ เนวิน จะเป็นผู้มีบทบาทนำของพรรคเพื่อไทย และยังกุมเสียง “สว.สายสีน้ำเงิน” เอาไว้เกินครึ่ง มากกว่า 150 เสียงในสภาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า การผลักดัน อนุทินให้ขึ้นนั่ง “นายกฯคนใหม่” ภายใต้สูตร “นายกฯคนละครึ่ง” นั้นมีความจำเป็น ที่เนวิน จะต้องดำเนินการตั้งแต่วันนี้

อีกทั้ง ตัวอนุทิน เองก็พูดมาตลอดว่า หากจะเป็นนายกฯ ก็จะขออยู่เต็มเทอม ไม่มีการแบ่งครึ่งหรือเป็นตัวสำรองกับใร และที่สำคัญไปกว่านั้น นั่นคืออนุทิน พร้อมที่จะเข้ามาแบกรับ สารพัดปัญหา อีกทั้งความขัดแย้งทางการเมืองที่เพิ่มสูงมากขึ้นหรือไม่

มีการวิเคราะห์กันในอีกด้านหนึ่งว่า แม้เนวิน ในฐานะอดีตลูกน้อง และเป็นผู้น้อย เป็นฝ่ายเข้าพบทักษิณ ซึ่งเป็นเหมือน “นายเก่า” ที่บ้านพักจันทร์ส่องหล้า ก็ตาม ย่อมไม่ได้หมายความเนวินจะ “เป็นรอง” ในทางกลับกัน วันนี้ต้องไม่ลืมว่า อำนาจของเนวิน สยายผ่านสว.สีน้ำเงิน อันจะมีผลสำคัญต่อการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ  ที่ล้วนมีส่วนชี้เป็นชี้ตายต่อ “นักการเมือง”

ด้วยเหตุนี้ นัยยะของการพบกันครั้งนี้จึงไม่มีใครพูดได้เต็มปากว่า ระหว่างเนวินหรือทักษิณ ใครเป็นฝ่าย “ถือแต้มต่อ” ใครเป็นฝ่าย “กำหนดเงื่อนไข”  อย่างเบ็ดเสร็จ !!

“สุริยะใส กตะศิลา”  คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งข้อสังเกตถึงปรากฎการณ์ทางการเมืองฉากนี้เอาไว้ว่า ทั้งคู่ต่างเลือกที่จะ “ลืมอดีต” แล้วจับมือเพื่อ จัดระเบียบขั้วอำนาจใหม่ ในลักษณะที่เรียกว่า “ขั้วอำนาจเดี่ยว”

“อย่าลืมว่าทั้งคุณทักษิณ และคุณเนวิน ก็ไม่สามารถเป็นใหญ่หรือกุมเสียงข้างมากในสภาได้โดยลำพังตัวเอง ถ้าไม่จับมือซึ่งกันและกัน จึงเป็นหมากบังคับ ที่ทำให้ทั้งคู่เลือกลืมอดีตและจับมือกันเดินไปข้างหน้า

จะว่าไป เป็นการส่งสัญญาณในหมู่นักการเมืองและเครือข่ายทางการเมืองด้วยกัน ถึงระเบียบการเมืองขั้วอำนาจเดี่ยว จากนี้ไปจะอยู่ภายใต้พันธมิตรทักษิณ-เนวิน”

ความบาดหมางในอดีตคือเรื่องของวันวาน ที่ต่างฝ่ายต่างก้าวผ่านมาแล้ว แต่เกมบนกระดานการเมืองสเต็ปต่อไป ย่อมมีความสำคัญมากกว่า  เพราะอย่าลืมว่า ก่อนหน้าวันที่ 22 ส.ค.2566 ที่ทักษิณ จะเดินทางกลับมาถึงเมืองไทย ในรอบ 17 ปี มีรายงานข่าวชี้เป้าว่า เห็นเนวิน แวะไปตรวจดูความเรียบร้อยที่สนามบินดอนเมือง ด้วยตัวเอง มาแล้ว !