วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานพัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศ เพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรมขนาดใหญ่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เผยว่า จากการสำรวจสถานการณ์อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยโดยภาครัฐ พบว่า มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นน้อยมาก หรือแทบไม่มีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้น ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันบนเวทีโลกลดลง รัฐบาลจึงกำหนดนโยบายและให้งบสนับสนุนเพื่อพัฒนาให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีมาใช้เสริมศักยภาพอุตสาหกรรมสิ่งทอ
ภายใต้การร่วมมือกันระหว่าง บพข.กับ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ดำเนินโครงการพัฒนาสิ่งทอด้วยนวัตกรรมความยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีด้านนาโน วัสดุ ชีวภาพ และอิเล็กทรอนิกส์สู่อุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ตั้งเป้าสร้างนวัตกรรมขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย และผู้เข้าร่วมโครงการมีรายได้สูงขึ้นกว่าร้อยละ 20 ภายใน 3 ปี เติบโตสู่การมีรายได้ 1,000 ล้านบาทในอนาคต โดยมีแผนการดำเนินงานหลักประกอบด้วย การมอบทุนเพื่อวิจัยนวัตกรรมใหม่ และ การแนะนำส่งเสริมเรื่องต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบการ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยเน้นสนับสนุนกลุ่มธุรกิจสิ่งทอขนาดกลางมูลค่า 100-500 ล้านบาท และ ขนาดใหญ่มูลค่า 500-1,000 ล้านบาท เพื่อให้ธุรกิจกลุ่มนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นกำลังในการแข่งขันของประเทศไทยต่อไป
ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เผยว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอไม่ได้มีแค่การทอผ้าแฟชั่น ยังมีสิ่งทอการแพทย์ สิ่งทอการเกษตร สิ่งทอยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งมีนวัตกรรมจำนวนมาก แต่เนื่องจากกติกาการแข่งขันบนเวทีโลกเปลี่ยนไป มีการแข่งขันสูง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม หากไม่มีโครงการภาครัฐเข้าไปแนะนำสนับสนุน อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของผู้ประกอบการในหลายมิติ ไม่เพียงแต่ด้านยอดขายเท่านั้น โดยงบประมาณจากภาครัฐในการสนับสนุนโครงการดังกล่าว จะช่วยพัฒนาทั้งสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการไปพร้อมกัน
โดยสถาบันฯ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำการจัดทำแผนกลยุทธ์ธุรกิจ 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1.ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เกิดจากการใช้นวัตกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 กระตุ้นการจ้างงานในระบบเพิ่มขึ้น 2.ผู้บริโภคได้ใช้นวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในราคาที่เหมาะสม เนื่องจากสามารถผลิตเองได้ภายในประเทศ 3.สร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในกระบวนการ จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การปนเปื้อนของสารพิษต่าง ๆ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
“การแข่งขันในตลาดโลกปัจจุบัน เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นหลัก การพัฒนาสินค้าอย่างเดียวอยู่ไม่รอด ต้องพัฒนาอีก 4 มิติสำคัญ ได้แก่ การสร้างนวัตกรรมให้กับสินค้า การยกระดับกระบวนการผลิตด้วยนวัตกรรม การพัฒนาการตลาดด้วยนวัตกรรม และการพัฒนารูปแบบธุรกิจด้วยนวัตกรรม ซึ่งสถาบันฯพร้อมสนับสนุนเรื่องเหล่านี้“ ดร.ชาญชัย กล่าว
ด้านนายภคพล ธีระมงคลกุล ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด นิวย่งฮั้ว (ไทยแลนด์) หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ เผยว่า เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตนเริ่มดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งทอโดยการนำวัสดุที่ทิ้งแล้วมาสานกระเป๋า ภายหลังสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอมาเยี่ยมที่โรงงาน ได้แนะนำว่าธุรกิจของตนสามารถพัฒนาเติบโตได้มากกว่านี้ จึงเสนอทุนวิจัยและโครงการช่วยเหลือ เช่น การวางแผนการตลาด การทำวิจัย การจัดระบบโรงงานตามมาตรฐาน ทำให้ธุรกิจของตนสามารถเข้าร่วมกลุ่มธุรกิจโรงงานได้มากขึ้น โดยตนมองว่า นวัตกรรมสำคัญกับการทำธุรกิจ เพราะจะเพิ่มมูลค่าให้สินค้า ทำให้เหนือกว่าคู่แข่ง เนื่องจากปัจจุบันนี้ใครก็สามารถผลิตอะไรก็ได้ แต่นวัตกรรมจะเป็นตัวสร้างความแตกต่าง ดังนั้น การเข้าร่วมโครงการจะทำให้รับทราบถึงนวัตกรรมของผู้ประกอบการรายอื่นมากขึ้น เป็นเครือข่ายสามารถแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อพัฒนาต่อไปในระยะยาว ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมในปีงบประมาณ 2568 สอบถามรายละเอียดได้ที่ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ โทร. 0 2713 5492 – 9
สำหรับสถานการณ์อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยในปัจจุบัน พบมีการปรับตัวลดลง ข้อมูลจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอล่าสุด ระบุว่า เดือน ธ.ค.2566 ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย มีการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มูลค่า 483.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น การส่งออกกลุ่มสิ่งทอ มูลค่า 314.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.4 และ การส่งออกกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม มูลค่า 169.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลงร้อยละ 2.3 ขณะที่ภาพรวมการนำเข้าของอุตสาหกรรมดังกล่าว มีมูลค่า 404.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลงร้อยละ 4.0 แบ่งเป็น การนำเข้ากลุ่มสิ่งทอ มูลค่า 225.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.6 และ การนำเข้ากลุ่มเครื่องนุ่งห่ม มูลค่า 179.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 โดยภาพรวมดุลการค้าเกินดุล คิดเป็นมูลค่า 78.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ