หนุ่มแรงงานชาว อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ที่พ่อแม่ต้องไปกู้เงิน 6 หมื่นบาท ส่งให้ลูกซื้อตั๋วเครื่องบินกลับจากอิสราเอลเองโดยไม่รอรัฐเพราะห่วงความปลอดภัย กลับถึงบ้านเกิดแล้ว นายอำเภอพร้อมพ่อแม่ผูกแขนรับขวัญ เจ้าตัวเผยแม้จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่สีแดงแต่ได้ยินเสียงปืนระเบิดตลอดไหว้เหรียญ "หลวงปู่สุข" ทุกวันเพื่อให้คุ้มครอง แต่หากเหตุสู้รบสงบก็พร้อมกลับไปทำงานที่เดิมเพราะยังมีภาระหนี้สินหลายแสน
(27 ต.ค.66) นางสาวเพชรรัตน์ ภูมาศ นายอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วยปลัดอำเภอ เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรนางรอง หน่วยกู้ภัยตำรวจทางหลวงบุรีรัมย์ รวมทั้งนายบุญรอด เรือโป๊ะ และนางสถาพร เรือโป๊ะ พ่อแม่ และญาติพี่น้อง ได้ร่วมกันผูกแขนรับขวัญนายเสรี เรือโป๊ะ อายุ 29 ปี หนุ่มแรงงานชาว ตำบลหนองไทร อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ที่ครอบครัวต้องไปกู้เงิน 6 หมื่นบาท เพื่อเป็นค่าตั๋วเครื่องบินให้นายเสรี เดินทางจากประเทศอิสราเอลที่กำลังมีเหตุการณ์สู้รบกัน กลับมายังบ้านเกิดที่อำเภอนางรอง เพราะห่วงความปลอดภัย
ทั้งนี้ หน่วยกู้ภัยตำรวจทางหลวงยังได้นำอุปกรณ์ในการวัดชีพจรและความดัน ไปทำการตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับนายเสรี หนุ่มแรงงานด้วย ซึ่งพบว่าสภาพร่างกายแข็งแรงดีแต่อาจจะมีอาการอ่อนเพลียจากการเดินทางบ้าง และสภาพจิตใจก็ยังดีเพราะได้รับกำลังใจจากคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อกับแม่ที่เดินทางไปรับลูกชายที่สนามบินสุวรรณภูมิด้วยตัวเอง ต่างก็ดีใจมากที่ลูกชายกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งขอบคุณนายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ที่มาร่วมต้อนรับและให้กำลังใจลูกชายด้วย
จากการสอบถาม นายเสรี บอกว่า สาเหตุที่ตัดสินใจเดินทางไปทำงานอิสราเอล เพราะอยากช่วยพ่อแม่ปลดหนี้สิน รวมถึงอยากมีเงินเก็บไว้สร้างเนื้อสร้างตัวด้วย ส่วนจุดที่ตนเองทำงานอยู่ทางตอนเหนือแต่เขาสู้รบกันอยู่ทางใต้ ก็น่าจะห่างกันประมาณ 60 กิโลเมตร ช่วงที่มีการสู้รบกันก็ได้ยินเสียงปืนระเบิดและเสียงไซเรนเตือนภัยตลอดแต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ แต่ที่กังวลคือกลัวจะมีกลุ่มฮามาสที่จะเดินเท้ามาภาคพื้นดิน และทางครอบครัวก็เห็นสถานการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยเป็นห่วงและอยากให้กลับบ้านก่อน ซึ่งตนก็ลงทะเบียนเพื่อให้รัฐส่งกลับไว้แล้ว แต่ด้วยความที่พ่อแม่ห่วงความปลอดภัยไม่อยากรอ จึงไปหยิบยืมเงิน 6 หมื่นบาท ส่งไปเป็นค่าเครื่องบินให้เดินทางกลับเอง ซึ่งตอนที่มีเหตุการณ์สู้รบกันตนก็ไหว้เหรียญ "หลวงปู่สุข" ทุกวัน เพื่อให้ท่านช่วงปกป้องคุ้มครอง และโทรติดต่อหาพ่อแม่บ่อยๆ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจด้วย
นายเสรี ยังบอกอีกว่า จุดที่ตนทำงานมีแรงงานไทยอยู่ทั้งหมด 9 คน แต่มีตนที่ตัดสินใจเดินทางกลับ ส่วนที่เหลือยังยอมเสี่ยงอยู่ต่อ ซึ่งจริงๆ แล้วตนก็อยากจะอยู่ทำงานต่ออีกแต่ห่วงสภาพจิตใจพ่อแม่ท่านไม่ค่อยสบายและอยากให้กลับ จึงตัดสินใจกลับมาก่อนนายจ้างก็บอกว่า ให้กลับมาพักก่อน 2 เดือนหากสถานการณ์สงบลงก็สามารถกลับไปทำงานได้เหมือนเดิมเขาพร้อมรับกลับเข้าทำงาน ซึ่งตนเองทำงานได้เพียง 1 ปีกับ 4 เดือน ตามกำหนดสัญญาคือ 5 ปี ซึ่งตนก็ตั้งใจว่าหากเหตุการณ์สู้รบสงบก็จะกลับไปทำงานที่เดิม เพราะตอนนี้ยังมีภาระหนี้สินทั้งหนี้ ธกส. และงวดรถ รวมแล้วก็เป็นเงินจำนวนหลายแสนบาท ก็อยากกลับไปทำงานเพื่อปลดหนี้สินที่เหลือ ส่วนตอนนี้ก็จะดูแลวัวที่พ่อแม่เอาเงินที่ตนเองส่งกลับมาซื้อไว้ให้ 13 ตัวก่อน