วันที่ 16 ก.ค.2566 นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล ต้องการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฐานะแคนดิเดตนายกฯ ให้รัฐสภาพิจารณาว่าจะเห็นชอบเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 อีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค.นี้ว่า จากที่ตนได้ศึกษาข้อกฎหมาย พบว่า นอกจากกรณีการเสนอชื่อนายกฯ ให้รัฐสภาพิจารณาจะเข้าข่ายเป็นญัตติและตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41 กำหนดไว้ชัดเจนว่า ญัตติใดที่ตกไปแล้วหรือรัฐสภาไม่เห็นชอบ ห้ามนำกลับมาเสนอใหม่ แล้วยังมีความของรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคสอง ที่ระบุว่า กรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกฯจากบัญรายชื่อพรรคการเมืองแจ้งไว้ ตามมาตรา 88  ซึ่งกรณีดังกล่าวตนมองว่าแคนดิเดตนายกฯของพรรคนั้นๆ ทำได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาถือว่าหมดสิทธิเสนออีกและต้องพิจารณาแคนดิเดตนายกฯในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองอื่นที่มีสิทธิต่อไป


เมื่อถามว่าความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคสอง ใช้กรณีเพื่อไม่ให้การเมืองเกิดทางตันกรณีแคนดิเดตนายกฯของพรรคการเมืองไม่ถูกยอมรับ จึงต้องหาคนนอกบัญชี นายเสรี กล่าวว่า ต้องดูให้ดี เพราะคำว่าไม่อาจแต่งตั้ง หมายถึงว่าการเสนอมาแล้วรอบแรก แต่รัฐสภาไม่เห็นชอบ เท่าากับว่าไม่อาจแต่งตั้งได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวสอดรับกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ41 ที่เสนอญัตติซ้ำไม่ได้ ดังนั้นไม่ใช่โหวตแพ้แล้วจะเสนอให้มาโหวตอีก แบบนี้เลือกนายกฯ ก็ไม่ผ่าน ก็ไม่จบ

“หากฝืนจะทำได้ จะให้โหวตซ้ำ ระวังจะมีผู้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญว่าทำผิดรัฐธรรมนูญ ไม่ว่ารอบสองคุณจะชนะหรือแพ้  แต่ไม่ถึงขั้นที่ ส.ว. จะพิจารณาไปถึงระดับนั้น" นายเสรี กล่าว

เมื่อถามว่าข้อบังคับข้อ41 กำหนดให้นำญัตติ กลับมาโหวตซ้ำได้หากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป หากมีกรณีที่เสนอชื่อแข่งนายพิธา เรียกว่าเหตุเปลี่ยนแปลงหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ไม่ได้แล้ว เพราะบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล ถูกวินิจฉัยไปแล้ว ดังนั้นจากนี้พรรคเพื่อไทยคือพรรคที่ได้รับโอกาส แต่หากพรรคเพื่อไทยยังรวมกับก้าวไกล หรือให้พรรคก้าวไกลอยู่ร่วม 8 พรรค คาดว่าที่ประชุมรัฐสภาจะไม่เห็นด้วย หากแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทยไม่ได้รับเสียงเห็นชอบ ชื่อนั้นจะเสียไป แต่พรรคเพื่อไทยยังมีโอกาสอยู่ เพราะมีแคนดิเดตนายกฯ 3 คน

เมื่อถามว่าข้อบังคับการประชุมให้ประธานรัฐสภาตัดสินใจ นายเสรี กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ที่มติของสภาฯ การประชุมโหวตนายกฯ รอบสอง อาจมีประเด็นให้เกิดกรณีอภิปรายเรื่องหลักการและข้อบังคับการประชุมได้ แต่สุดท้ายจะสรุปอย่างไร ต้องขึ้นอยู่กับมติที่ประชุม ซึ่งอาจจะมีคนเสนอให้โหวตหรือไม่ก็ได้