บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) หรือ TQMalpha ผู้นำธุรกิจนายหน้าประกันภัย และธุรกิจการเงิน และเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม จัดประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 พร้อมแจ้งมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท และเผยแนวโน้มธุรกิจปี 2566 จะกลับมาเป็นปกติ คาดว่าแนวโน้มการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะมีส่วนช่วยหนุนยอดเบี้ยประกันรถยนต์ในอนาคต และการเติบโตในผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นยังคงเป็นไปตามแผน มุ่งสร้างการเติบโตในอนาคตด้วยการลงทุนด้านบุคลากรเสริมทีมขาย และเดินหน้าเตรียมนำบริษัทในเครือเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อเสริมศักยภาพ

ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เมื่อวันอังคารที่ 25 เมษายน 2566 มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 เป็นเงินสดอีก 0.50 บาท/หุ้น และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.70 บาท/หุ้น รวมจ่ายปันผลประจำปี 2565 ทั้งหมดที่ 1.20 บาท/หุ้น รวมจำนวนเงิน 720 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 3,727 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากยอดขายและค่าบริการที่เพิ่มในทุกผลิตภัณฑ์ประกันภัย กำไรสุทธิ 885 ล้านบาท แต่ในปี 2564 มีรายการพิเศษเช่นการซื้อบริษัทย่อยในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม และการกลับรายการประมาณการหนี้สินของบริษัทย่อย หากไม่รวมรายการดังกล่าว ในปี 2565 บริษัทยังคงมีกำไรสุทธิใกล้เคียงกับปีก่อน

ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในปี 2565 TQM สามารถขายประกันใหม่ได้ค่อนข้างดี แต่สำหรับงานขายประเภทต่ออายุกรมธรรม์ เช่นประกันโควิด ที่บริษัทประกันยุติการขาย รวมถึงการปิดตัวลงของบริษัทประกันบางแห่งจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ไม่สามารถต่ออายุกรมธรรม์ของบริษัทประกันดังกล่าวได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2566 แนวโน้มการประกอบธุรกิจของ TQM จะกลับมาเป็นปกติ โดยการขายสำหรับกลุ่มลูกค้าต่ออายุประกันภัยสามารถดำเนินได้ตามปกติ รวมถึงสถานะทางการเงินของบริษัทประกันต่างๆ ที่มั่นคงขึ้น TQMalpha ยังคงดำเนินกลยุทธ์สร้าง synergy เพื่อเติบโต ผ่านกลุ่มธุรกิจประกัน การเงิน และเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม

“ในปีนี้เราได้เห็นกระแสการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีความต้องการสูงและมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ามีค่าเบี้ยประกันภัยสูงกว่ารถยนต์แบบธรรมดา และค่านายหน้าจะสูงขึ้นตามยอดเบี้ยไปด้วย สำหรับยอดขายประกันอุบัติเหตุและสุขภาพภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ได้รับความสนใจ สามารถ upsell และ cross sell ได้ดี เช่นเดียวกับการเติบโตของประกันบ้านและประกัน non-motor อื่นๆ นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 บริษัทฯ ได้ลงทุนด้านบุคลากรเพื่อรองรับความต้องการซื้อประกันภัย เช่นการเพิ่มทีมขายและการฝึกอบรมที่จะช่วยสร้างยอดขายให้เติบโตมากขึ้น โดยที่ผ่านมายอดขายยังคงเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่วางไว้ และเพื่อเพิ่มศักยภาพสูงสุด TQM มีแผนนำ 3 บริษัทในเครือ เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกอบด้วยบริษัทด้านธุรกิจประกัน ในปี 2567 บริษัทด้านธุรกิจการเงินในปี 2568  และบริษัทด้านธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์มในปี 2569 ทั้งนี้ตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในปี 2570 ทาง TQM  มีเป้าหมายที่จะสร้างยอดเบี้ยประกันกว่า 50,000 ล้านบาท” ดร.นภัสนันท์กล่าว