ผลออกมาแล้ว สำหรับ คะแนนนิยมของบรรดาผู้นำประเทศชั้นนำต่างๆ จากการสำรวจความคิดเห็น หรือการสำรวจโพลล์ จากประชาชนกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งจัดทำโดย “มอร์นิง คอนซัลท์ โพลิทิคัล อินเทลลิเจนซ์” สำนักวิจัยระดับโลก มีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในมหานครใหญ่ๆ หลายแห่งในประเทศสหรัฐฯ ได้แก่ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มหานครนิวยอร์ก ชิคาโก และซานฟรานซิสโก

ทั้งนี้ ทาง “มอร์นิง คอนซัลท์ โพลิทิคัล อินเทลลิเจนซ์” ได้ส่งทีมงานสำรวจความคิดเห็นกับประชาชนกลุ่มตัวอย่างต่อผู้นำของพวกเขา ในประเทศชั้นนำต่างๆ 22 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย ออสเตรีย เบลเยียม บราซิล แคนาดา สาธารณรัฐเช็ก ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ เกาหลีใต้ สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

โดยการสำรวจมีขึ้นเมื่อช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ผลที่ออกมา ก็ปรากฏว่า พลิกความคาดหมายของใครต่อใครหลายคนที่ลุ้นไปกับการสำรวจโพลล์ครั้งล่าสุด ดังนี้

อันดับ 1 ตกเป็นของ “นายกรัฐมนตรีอินเดีย” นาม “นเรนทรา โมทิ” ที่ได้ “คะแนนนิยม” ไปมากถึงร้อยละ 78 ด้วยกัน ส่วนชาวอินเดียที่ไม่ชื่นชอบในการบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีโมทิ มีจำนวนเพียงร้อยละ 18 เท่านั้น และไม่ขอแสดงความคิดเห็นมีจำนวนร้อยละ 4

รองลงมา อันดับ 2 ได้แก่ “ประธานาธิบดีอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราโดร์ ผู้นำเม็กซิโก” จากการที่ประชาชนชาวจังโก อันเป็นนิกเนมของประเทศเม็กซิโก ให้ความนิยมชมชอบด้วยจำนวนสูงถึงร้อยละ 70 ส่วนผู้ที่ไม่ชื่นชอบมีจำนวนร้อยละ 24 และผู้ที่ไม่แสดงความคิดเห็นมีจำนวนร้อยละ 6

อันดับที่ 3 ทาง “นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนส แห่งออสเตรเลีย” คว้าไปด้วยคะแนนนิยมจากประชาชาวออสซีจำนวนร้อยละ 57 ส่วนผู้ที่ไม่ชื่นชอบมีจำนวนร้อยละ 30 และผู้ที่ไม่ขอแสดงความคิดเห็นมีจำนวนร้อยละ 13

อันดับ 4 ได้แก่ “นายอิกนาซิโอ คาสซิส” ซึ่งดำรงตำแหน่ง “ประธานาธิบดีสวิตเซอร์แลนด์” ได้คะแนนนิยมไปที่ร้อยละ 50 ผู้ที่ไม่ชื่นชอบมีจำนวนร้อยละ 32 และผู้ที่ไม่แสดงความคิดเห็นมีจำนวนร้อยละ 18

อันดับ 5 ตกเป็นของ “จิออร์เจีย เมโลนี” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอิตาลี ที่ได้คะแนนนิยมร้อยละ 54 ส่วนผู้ไม่นิยมมีจำนวนร้อยละ 40 และผู้ไม่ขอออกความเห็นมีจำนวนร้อยละ 6

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นับตั้งแต่อันดับ 6 นี้ลงถัดไป คะแนนนิยมของผู้นำประเทศ ล้วนต่ำกว่าร้อยละ 50 และมีคะแนนของผู้ไม่ชื่นชอบมากกว่า

โดยอันดับ 6 ได้แก่ “ประธานาธิบดี” ผู้เพิ่งพ่ายศึกเลือกตั้งของ “บราซิล” นั่นคือ “นายฌาอีร์ โบลโซนารู” ที่ยังมีคะแนนนิยมที่ร้อยละ 46 แต่ผู้ไม่ชื่นชอบมีมากกว่าที่ร้อยละ 47 และผู้ไม่ขอแสดงความคิดเห็นจำนวนร้อยละ 7

อันดับ 7 ตกเป็นของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ” มหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกแห่งยุคนี้ ที่คะแนนนิยมยังคงดิ่งเหวที่ร้อยละ 42 โดยผู้ไม่ชื่นชอบมีจำนวนมากกว่าที่ร้อยละ 51 และผู้ไม่ขอแสดงความคิดเห็นมีจำนวนร้อยละ 7

อันดับ 8 เป็น “นายไมเคิล มาร์ติน” ผู้นำไอร์แลนด์ ที่ได้คะแนนนิยมร้อยละ 38 ผู้ไม่ชมชอบมีจำนวนร้อยละ 52 และผู้ไม่ขอออกความเห็นมีที่ร้อยละ 10

อันดับ 9 คือ “นายอเล็กซานเดอร์ เดอ โกร นายกรัฐมนตรีเบลเยียม” ได้คะแนนนิยมที่ร้อยละ 35 ส่วนผู้ไม่ชอบมีจำนวนร้อยละ 49 และผู้ไม่ออกความเห็นร้อยละ 16

อันดับ 10 ตกเป็นของ “นายกรัฐมนตรีแห่งแคนาดา” คือ “นายจัสติน ทรูโด” ที่มีผู้ชื่นชอบเพียงร้อยละ 39 ส่วนผู้ไม่ชอบมีจำนวนมากกว่าที่ร้อยละ 54 และผู้ไม่ขอออกความเห็นมีจำนวนร้อยละ 7

อันดับ 11 เป็น “นายอูร์ฟ คริสเตอร์สัน นายกรัฐมนตรีสวีเดน” ได้คะแนนนิยมไปเพียงร้อยละ 33 ผู้ไม่นิยมชมชอบมีจำนวนร้อยละ 50 ส่วนผู้ไม่ขอออกความเห็นมีจำนวนร้อยละ 17

อันดับ 12 ได้แก่ “นายริชี ซูแนค” นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนล่าสุด ซึ่งคะแนนนิยมของเขาอยู่ที่ร้อยละ 33 ผู้ไม่ชื่นชอบมีจำนวนร้อยละ 50 และผู้ไม่ออกความเห็นมีจำนวนร้อยละ 17

อันดับ 13 เป็น “นายเปโดร ซานเชซ นายกรัฐมนตรีสเปน” ที่แม้ได้คะแนนนิยมมากกว่านายกรัฐมนตรีสวีเดน และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ คือ ร้อยละ 36 แต่ผู้ไม่ชื่นชอบมีจำนวนมากถึงร้อยละ 58 และผู้ไม่ออกความเห็นจำนวนร้อยละ 6 ดังนั้น เมื่อหักลบกลบหนี้กันแล้ว ก็เลยทำให้นายกรัฐมนตรีสเปน ได้อันดับต่ำกว่านายกฯ ทั้งสองข้างต้น

อันดับ 14 คือ “นายกรัฐมนตรีคาร์ล เนฮัมเมอร์ แห่งออสเตรีย” ได้คะแนนผู้ชื่นชอบที่ร้อยละ 32 ผู้ไม่นิยมชมชอบมีจำนวนร้อยละ 60 ผู้ไม่ออกความเห็นมีจำนวนร้อยละ 7

อันดับ 15 ได้แก่ “นายโอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี” ผู้ที่ถูกหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นตัวแทนของนางอังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงผู้โด่งดัง แต่ปรากฏว่า เขาได้รับคะแนนนิยมเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น ส่วนผู้ไม่ชื่นชอบมีจำนวนมากถึงร้อยละ 63 และผู้ไม่ออกความเห็นมีจำนวนร้อยละ 7

อันดับ 16 ตกเป็นของผู้นำที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง “ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส” ที่ปรากฏว่า กลับได้คะแนนนิยมจากผู้คนในประเทศเพียงร้อยละ 30 ผู้ไม่ชื่นชอบมีจำนวนถึงร้อยละ 64 และผู้ไม่ออกความเห็นมีจำนวนร้อยละ 6

อันดับ 17 เป็น “นายมาเตอุซ โมราวีแยตสกี นายกรัฐมนตรีโปแลนด์” ที่มีคะแนนนิยมจำนวนร้อยละ 30 ผู้ไม่ชื่นชอบร้อยละ 64 และผู้ไม่ออกความเห็นร้อยละ 6

อันดับ 18 ได้แก่ “นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น” ได้คะแนนนิยมที่ร้อยละ 24 ผู้ไม่นิยมชมชอบจำนวนร้อยละ 62 และผู้ไม่ออกความเห็นร้อยละ 14

อันดับ 19 คือ “นายปีเตอร์ เฟียลา นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐเช็ก” ที่มีคะแนนนิยมอยู่ที่ร้อยละ 24 ผู้ไม่นนิยมชมชอบมีจำนวนร้อยละ 69 และผู้ไม่ออกความเห็นร้อยละ 6

อันดับ 20 “นายมาร์ก รึตเตอ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์” มีคะแนนนิยมที่ร้อยละ 25 ซึ่งแม้ว่าสูงกว่านายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเช็ก แต่ผู้ไม่ชื่นชอบมีจำนวนมากถึงร้อยละ 71 และผู้ไม่ออกความเห็นร้อยละ 4 จึงทำให้นายรึตเตอ รั้งอันดับนี้

อันดับ 21 “นายโจนาส การ์ สโตร์ นายกรัฐมนตรีนอร์เวย์” คะแนนนิยมร้อยละ 23 ผู้ไม่ชื่นชอบมีร้อยละ 71 และผู้ไม่ออกความเห็นจำนวนร้อยละ 71

อันดับสุดท้าย คือ 22 ตกเป็นของ “ประธานาธิบดียุน ซุกยอล ผู้นำเกาหลีใต้” ที่ได้คะแนนนิยมเพียงร้อยละ 21 ส่วนผู้ไม่นิยมชมชอบมีจำนวนมากถึงร้อยละ 72 ขณะที่ ผู้ไม่ออกความเห็นมีจำนวนร้อยละ 6