ไม่ผิดอะไรกับการ “วนลูป (Time loop)” ของ “โคโรนาไวรัส 2019” หรือ “โควิด-19” ซึ่งเป็นมหันตภัยไวรัสเขย่าโลกตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

เมื่อปรากฏว่า “โควิด-19” ได้หวนกลับมาระบาดครั้งใหญ่อีกระลอกในแดนมังกร “จีนแผ่นดินใหญ่” ประเทศซึ่งเป็นต้นกำเนิดของไวรัสร้ายชนิดนี้ เมื่อ 3 ปีก่อน หลังจากที่พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ครั้งแรกเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม 2019 (พ.ศ. 2562) ที่ในครั้งนั้นเรียกชื่อโรคร้ายนี้ว่า “ไข้หวัดอู่ฮั่น” บ้าง “ไวรัสอู่ฮั่น” เพราะพบครั้งแรกในนครอู่ฮั่น นครหลวง เมืองเอกของมณฑลเหอเป่ย์ ของจีนแผ่นดินใหญ่ และระบาดไปยังเมือง มณฑลอื่นๆ แดนมังกร หลังจากนั้นได้แพร่ระบาดไปสู่พื้นที่ต่างๆ ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกในเวลาต่อมา ก่อนที่ “องค์การอนามัยโลก” หรือ “ดับเบิลยูเอชโอ” หรือที่หลายคนเรียกกันย่อๆ ว่า “ฮู” เปลี่ยนชื่อไวรัสนี้ในเวลาต่อมาอย่างเป็นทางการว่า “โคโรนาไวรัส 2019” หรือ “โควิด-19”

ตลอดช่วง 3 ปีที่ “โควิด-19” แพร่ระบาดในพื้นที่ 230 ประเทศ / เขตการปกครอง ทั่วโลกที่ผ่านมานั้น ก็ทำให้มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมรวมแล้วกว่า 658 ล้านคน ในจำนวนนี้ ก็ถูกโควิดฯ ปลิดชีพไปรวมแล้วมากกว่า 6.67 ล้านราย ซึ่งนอกจากสร้างความเดือดร้อนต่อระบบสาธารณสุขโลกแล้ว ก็ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และสังคมโลกอีกต่างหากด้วย

โดยสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ไวรัสร้ายก็ไปแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในพื้นที่ประเทศต่างๆ หลากหลายระลอก เช่น ที่อิตาลี อังกฤษ ในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา ในทวีปอเมริกาเหนือ บราซิล ทวีปอเมริกาใต้ หรือละตินอเมริกา แอฟริกาใต้ และบอตสวานา ทวีปแอฟริกา และอินเดีย ในภูมิภาคเอเชียใต้ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในสถานการณ์ของการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ในพื้นที่ของประเทศต่างๆ แต่ละระลอก ปรากฏว่า เชื้อไวรัสร้ายก็ยังได้กลายพันธุ์ เป็นสายพันธุ์ใหม่ต่างๆ หลากหลายสายพันธุ์ด้วยกัน

อาทิเช่น สายพันธุ์ “อัลฟา” ในการแพร่ระบาดที่อังกฤษ สายพันธุ์ “เบตา” ในการแพร่ระบาดที่แอฟริกาใต้ สายพันธุ์ “เดลตา” ในการแพร่ระบาดที่อินเดีย สายพันธุ์ “แลมบ์ดา” ในการแพร่ระบาดที่ภูมิภาคละตินอเมริกา และสายพันธุ์ “โอไมครอน” ในการแพร่ระบาดในบอตสวานา เป็นต้น ซึ่งในการกลายพันธุ์จนเป็นสายพันธุ์ใหม่ของโควิด-19 เหล่านี้ ก็ทำให้เชื้อไวรัสเพิ่มการร้ายกาจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ทั้งภูมิคุ้มกันในแบบธรรมชาติในผู้ที่หายป่วยจากโควิดฯ สายพันธุ์ดั้งเดิม และภูมิคุ้มกันจากวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ขนานต่างๆ โดยแม้ว่าโควิดฯ สายพันธุ์ใหม่จะได้รับการบอกเล่าจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญว่า ทำให้ป่วยรุนแรงน้อยลง ตายน้อยลงก็ตาม แต่ทว่า ถึงกระนั้นก็ยังมีรายงานถึงผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หรือสายพันธุ์ย่อยๆ ของโอไมครอน ที่กำลังอาละวาดในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นระยะๆ

ล่าสุด ก็เป็นรายของ “จีนแผ่นดินใหญ่” ที่กำลังเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโควิด – 19 สายพันธุ์ย่อยต่างๆ ของโอไมครอน จนสร้างความปั่นป่วนทั้งในด้านของระบบสาธารณสุข การส่งผลกระทบเศรษฐกิจ สังคม และยังทำท่าว่าจะลากยาวลามเลยไปถึงการเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ ถึงขนาดเกิดการชุมนุมประท้วงกันอย่างที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน นับตั้งแต่การชุมนุมประท้วงละเลงเลือดที่จตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อปี 1989 (พ.ศ. 2532) เป็นต้นมา เพราะถึงขั้นที่กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ทายท้าไปถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน และทรงอิทธิพลสูงสุดแบบตัวจริง เสียงจริง แห่งแดนมังกร อย่างชนิดไม่กลัวเกรงกันเลยทีเดียว

ว่ากันถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกนี้ ก็ต้องบอกว่ารุนแรงที่สุดนับตั้งแต่โควิดฯ อาละวาดแดนมังกรตลอดช่วง 3 ปีที่แล้ว ด้วยสถิติของผู้ป่วยติดเชื้อรายวันในบางช่วงเวลาก็ทะลุเกินกว่า 3 หมื่นคนต่อวันก็มีให้เห็น ซึ่งแม้ว่าในช่วงเวลานั้น ทางการจีนแผ่นดินใหญ่ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังคงประกาศบังคับใช้ “นโยบายซีโรโควิดฯ” หรือ “โควิดฯ เป็นศูนย์” เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแล้วก็ตาม แต่ปรากฏว่า นโยบายดังกล่าวก็ยังคุมไม่อยู่ เมื่อทางการจีนแผ่นดินใหญ่ ได้ผ่อนคลายการบังคับใช้นโยบายโควิดฯ เป็นศูนย์ ที่ทำให้ต้องบรรเทามาตรการเข้มงวดต่างๆ ไปด้วย เช่น การปิดพื้นที่ หรือล็อกดาวน์ ในพื้นที่ที่พบผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนมาก เป็นต้น ก็สร้างความวิตกกังวลกันว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดฯ ในจีน จะทวีความเลวร้ายหนักขึ้น

กอปรกับการผ่อนคลายนโยบายอันเข้มงวดของรัฐบาลปักกิ่งข้างต้น ก็ถูกบรรดาผู้เชี่ยวชาญมองว่า ไม่ได้เตรียมมาตรการอื่นๆ เพื่อรองรับที่ดีพอ หากเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดอันเลวร้ายปรากฏขึ้น อาทิเช่น

การเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ และพยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอื่นๆ ไว้รับมือกับการแพร่ระบาดของโควิดฯ อย่างรุนแรง ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อบุคลากรเหล่านั้นเอง โดยมีรายงานว่า ล่าสุด จีนแผ่นดินใหญ่ ได้ประสบกับการขาดแคลนของบุคลากรเหล่านี้แล้ว เนื่องจากทั้งแพทย์ และพยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปฏิบัติหน้าที่ในด่านหน้า ได้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เสียเอง จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

การไม่ได้เตรียมสถานพยาบาล ตลอดจนด้านสถานจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ ไว้รองรับ โดยมีรายงานว่า ทางการต้องมีคำสั่งปรับศูนย์ไข้หวัดใหญ่ มาเป็นสถานพยาบาลสำหรับรองรับผู้ป่วยโรคโควิดด-19 แทน นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า การจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ในจีน ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่กำลังถูกโรคโควิด-19 รุมเร้าถามหาแล้ว

บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดทั้งในจีน และต่างแดน ต่างออกมาระบุเห็นพ้องต้องกันว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นที่น่ากังวลท่ามกลางของสภาพอากาศหนาวของฤดูหนาว ที่ช่วยเสริมพิษร้ายของเชื้อไวรัส โดยการแพร่ระบาดของโควิดฯ ในจีน ณ ชั่วโมงนี้ ก็ถือเป็นเพียงระลอกแรกเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะไปสิ้นสุดในช่วงกลางเดือนมกราคมปีหน้า แต่โควิดฯ ในจีนก็ยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น เพราะจะระบาดต่อเป็นระลอกที่ 2 ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ อันเป็นช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ของชาวจีน หรือที่เรียกว่า “ตรุษจีน” นั่นเอง ซึ่งประชาชนต่างพากันแห่เดินทางเป็นจำนวนมาก ทว่า โควิดฯ ก็หาได้สิ้นฤทธิ์ไปในระลอกที่ 2 ไม่ แต่ยังอาละวาดต่อเป็นระลอกที่ 3 ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ไปจนถึงกลางเดือนมีนาคม หรือสิ้นสุดฤดูหนาว ท่ามกลางความหวั่นวิตกว่า ในระหว่างที่โควิดฯ แพร่ระบาดหลายระลอกในจีนนั้น จะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาและแพร่ระบาดไปยังประเทศต่างๆ อย่างยากจะจบสิ้นอีก