วันที่ 11 ส.ค.65  ที่ว่าการอำเภอภูซาง อ.ภูซาง จ.พะเยา ได้มีกลุ่มนักธุรกิจในพื้นที่ และข้าราชการ จำนวน 5 คน ที่เข้าร่วมลงทุนกับบริษัทจัดทำบัญชีแห่งหนึ่งในจังหวัดพะเยา แต่สุดท้ายถูกโกงเงินหายทั้งต้นและผลประโยชน์ตอบแทน ได้เข้าพบ ว่าที่ ร.ท.นราธิพงษ์ พิลาภ ปลัดอำเภอ หน.ฝ่ายศูนย์ดำรงธรรมอำเภอภูซาง พร้อมเอกสารหลักฐานในการถูกโกง เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรมและเรียกร้องเงินคืน ซึ่งเป็นเงินเกือบ 20 ล้านบาท 

น.ส.สุพรรณี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี อยู่ ต.ป่าสัก อ.ภูซาง จ.พะเยา 1 ใน 5 ผู้เสียหาย ตนและผู้เสียหายทั้งหมดได้นำเอกสาร เช็คสั่งจ่ายจำนวน 2 ใบ มูลค่ารวม 2.2 ล้านบาท เอกสารการกู้ยืมเงิน เอกสารการแชทไลน์สนนทนาเรื่องการลงทุนร่วมกับ น.ส.เจ ( นามสมมุติ ) ซึ่งทำบริษัทรับจัดทำบัญชีแห่งหนึ่ง เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยชักจูงว่ามีบริษัทเครือข่าย 5 บริษัททั่วประเทศ ทำหน้าที่จัดทำบัญชีภาษีรายได้แบบ ภ.พ.30  (ภ.พ.30 คือเอกสารสรุปภาษีซื้อ-ภาษีขาย ที่เจ้าของธุรกิจต้องเอาไว้ใช้ยื่นแสดงภาษีมูลค่าเพิ่มแก่กรมสรรพากรทุกเดือน โดยต้องทำก่อนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยเจ้าของธุรกิจมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาท/ปีและขึ้นทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) เพื่อส่งกรมสรรพากรก่อนวันที่ 15 ของทุกเดือน แต่มีลูกค้าที่มาทำบัญชีกับบริษัทของ น.ส.เจ จำนวนมากที่ไม่สามารถจะชำระภาษีตามระยะเวลาที่กำหนดได้ หากจ่ายภาษีล่าช้าจะต้องชำระภาษีพร้อมค่าปรับเพิ่มอีก 40 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเงินภาษี ดังนั้นทางบริษัทการเงินของ น.ส.เจ จึงดำเนินการชำระให้ก่อน โดยให้ลูกค้าชำระคืนทีหลังภายใน 30-40 วัน พร้อมบวกค่าดำเนินการเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น 

น.ส.สุพรรณี กล่าวต่อไปว่า ด้วยความที่คนชักชวนเป็นคนในพื้นที่ เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เหยื่อบางคนเป็นเพื่อนเรียนด้วยกันสมัยประถมด้วยซ้ำ จึงเชื่อใจเข้าร่วมลงทุน ครั้งแรกรายละ 100,000-300,000 บาท ก็ได้รับผลประโยชน์ 20 เปอร์เซ็นต์มาตลอด จนเกิดความไว้ใจ จึงมีการเพิ่มทุนมากขึ้นเรื่อยๆ คนละหลายล้านบาท ซึ่งบางคนสูญเงินถึง 8.5 ล้านบาท จากนั้นผลตอบแทนก็เริ่มหายไปและไม่มีจ่ายในที่สุด จึงรวมตัวกันไปเจรจาไกล่เกลี่ยกับ น.ส.เจ ถึงบริษัทและที่บ้าน แต่ก็ถูก น.ส.เจ ปฏิเสธการจ่ายเงินคืน อ้างว่าธุรกิจของสะดุดเนื่องจากสามีนำเงินสด 4 ล้านบาท ไปซื้อที่และสร้างบ้านใหม่ ดังนั้นตนเองและผู้เสียหายจึงมาร้องขอความเป็นธรรมจากทางศูนย์ดำรงธรรมเพื่อทำการเรียก น.ส.เจ มาไกล่เกลี่ยเพื่อหาหนทางชำระเงินคืนทั้งหมด และพวกตนนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการหลอกมาลงทุนครั้งนี้ เชื่อว่ายังมีผู้เสียหายอีกหลายคนที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวว่า ถูกหลอกหรือกำลังถูกหลอกให้สูญเงิน หากผู้ที่รู้ตัวแล้วขอให้ออกมาแสดงตัวเพื่อดำเนินคดีกับ น.ส.เจและสามีรวมถึงบริษัทการเงินการบัญชีอีก 5 บริษัท เพื่อเป็นการมิให้ น.ส.เจและสามีไปหลอกลวงใครได้อีก

ด้าน ว่าที่ ร.ท.นราธิพงษ์ กล่าวว่า ในกรณีดังกล่าว มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 18.5 ล้านบาท ซึ่งอำนาจตามกฎหมายในส่วนของอำเภอนั้น จำนวนเงินที่สามารถเรียกคู่กรณีมาไกล่เกลี่ยได้อยู่ในความเสียหายวงเงินไม่เกิน 200,000 บาทเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องส่งเรื่องไปให้ ผวจ.พะเยา ดำเนินการพิจารณาต่อ ภายในระยะเวลา 7 วัน หลังจากนั้นอีก 7 วัน จึงจะได้ข้อสรุปแนวทางให้ทางอำเภอดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ทางผู้เสียหายจะเข้าไปดำเนินการแจ้งความคดีสั่งจ่ายเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชี ซึ่งเป็นคดีอาญาพร้อมกันอีกทางด้วยก็ได้ หลังจากนี้ให้ผู้เสียหายทั้งหมดรวบรวมเอกสารเพิ่มหรือให้ผู้เสียหายรายใหม่เข้ามาร่วมร้องทุกข์ได้