นับวันยิ่งดูเหมือนว่า หนทางเดินไปสู่เป้าหมายการชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แบบแลนด์สไลด์ สำหรับ “พรรคเพื่อไทย” นั้นไกลออกไปทุกที  และแน่นอนว่าหากเป็นนี้แล้ว คนที่นั่งไม่ติด คือคนที่อยู่ “ต่างประเทศ” อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง           

เมื่อวันนี้ ทักษิณ ได้ทิ้งไพ่ลงมากลางวง หลายใบแล้ว หรืออาจเรียกได้ว่า เทแทบหมดหน้าตัก โดยเฉพาะการผลักดัน “ลูกสาว-ลูกชาย” เข้ามาทำหน้าที่เป็นขวัญกำลังใจให้กับสมาชิกพรรคเพื่อไทย  ทั้งที่รู้ดีว่าทุกแรงกดดัน ทางการเมืองจะต้องพุ่งเข้าใส่ทั้ง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และลูกชายคนโต อย่าง “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร” ไม่มีเว้นวรรคก็ตาม           

แต่ด้วยสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทย ตกเป็นรองในทางการเมือง แม้จะเป็นพรรคที่กวาดส.ส.เข้าสภาฯ ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 2562 มากที่สุดก็ตาม แต่พรรคเพื่อไทยก็ยังไม่สามารถขยับขึ้นไปเป็น “พรรคแกนนำรัฐบาล”  แทนที่ “พรรคพลังประชารัฐ”       

การเป็น “ฝ่ายค้าน” มายาวนานถึง 8ปีสำหรับพรรคเพื่อไทย จึงกลายเป็น “จุดอ่อน” ที่กำลังทำให้ปัญหา “เลือดไหล” ออกนอกพรรค ยังมีขึ้นต่อเนื่อง และแทบทุกครั้งที่ มีการประลองกำลังผ่านเสียงโหวต ก็จะปรากฏ “ส.ส.งูเห่า” หยามทั้งพรรคเพื่อไทย ไปจนถึงคนที่ดูไบ

ทว่าสังเวียนการเลือกตั้ง รอบนี้ สำหรับพรรคเพื่อไทย ต้องยอมรับว่ามีงานหิน และโจทย์ยากรออยู่  เพราะ “คู่แข่ง” ที่จะขวางแลนด์สไลด์ ของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้มีแต่ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่จะทำหน้าที่เป็น “นั่งร้าน” สนับสนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกฯรอบหน้าเท่านั้น  

ด้วยสถานการณ์ “ภายใน” ของพรรคพลังประชารัฐ เองก็ใช่ว่าจะมีเสถียรภาพเป็นปึกแผ่น เนื่องจากธรรมชาติของพรรคคือการเปิดบ้านต้อนรับ “กลุ่มการเมือง”  จากทุกก๊วน  “บ้านใหญ่” ที่เคยสังกัดพรรคใหญ่  และตลอดหลายปีที่ผ่านมายังพบว่า พลังประชารัฐ เกิดความขัดแย้ง จนถึงขั้น “แตกตัว” กันออกไปด้วยกันถึง 2 ครั้ง

ครั้งแรกคือ “กลุ่ม4กุมาร”  แยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่ ในนาม “สร้างอนาคตไทย”

ครั้งล่าสุด คือความบาดหมางที่ยากจะเยียวยา ทำให้ “ก๊วนผู้กองนัส”  รวมทั้งสิ้น 18 ส.ส. ออกจากพรรค ตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย มีร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เป็นหัวหน้าพรรค        

สิ่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทย ตกเป็นรองพรรคพลังประชารัฐ นั้นนอกเหนือไปจากการที่เป็นพรรคฝ่ายค้านมายาวนานถึง 8ปี แล้ว กลับพบว่า “กระแสทักษิณ” ที่เคยฟีเวอร์ กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ยิ่งถูกท้าทาย จาก “พรรคอนาคตใหม่” มาจนถึง “พรรคก้าวไกล” ที่ช่วงชิงฐานเสียง “คนรุ่นใหม่” จนส่งผลให้ทักษิณ ต้องหาทาง “แก้เกม” หา “มือทำงาน” มาช่วยสนับสนุน ลูกสาวอย่าง อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร

นอกจากนี้อย่าลืมว่า  วันนี้บริบทการเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แม้พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล จะกำลังเผชิญปัญหา “กระแสตก”  ก็ตาม ทว่า พรรคเพื่อไทย กลับยังไม่ใช่ “ทางเลือกใหม่” ที่มีเสน่ห์ดึงดูด มากพอ    

พรรคเพื่อไทยและอดีตนายกฯทักษิณ ยังต้องรับมือกับ การรุกไล่ ของ “พรรคภูมิใจไทย” อย่างหนักหน่วง  และต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 4 ปีหลังการเลือกตั้ง2562 เป็นต้นมา ดูเหมือนว่า พรรคเพื่อไทยมี “ส.ส.งูเห่า” ที่ประกาศตัว พร้อมย้ายค่ายไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย ที่มี “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข  นั่งเป็นหัวหน้าพรรค

มิหนำซ้ำ ล่าสุด พรรคภูมิใจไทย ยังเพิ่งบุกไปเปิดตัวมิตรข้ามค่าย จัดงานที่ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 21 พ.ค.65 ด้วยการดึง ส.ส.และอดีตส.ส.ศรีสะเกษ มาร่วมกิจกรรมของพรรค พร้อมทั้งขึ้นเวทีโชว์ตัว สร้างความเจ็บใจให้กับคนของพรรคเพื่อไทย กระทบไปถึง อดีตนายกฯทักษิณ ถึงดูไบ จนทำให้พรรคเพื่อไทย ต้องจัดอีเวนต์การเมืองขึ้นมาตอบโต้ ภายใต้รหัส “ไล่หนู ตีงูเห่า” เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ในความเป็นจริงแล้ว ต้องยอมรับว่าพรรคภูมิใจไทย คือพรรคการเมืองที่ทุกฝ่าย ทุกขั้วกำลังจับตา เพราะจากเดิมที่พรรคมีส.ส.ราว 51 คนที่ชนะเลือกตั้ง เข้าสภาฯ มาได้ จากวันนั้นจนถึงวันนี้  ภูมิใจไทยมีส.ส.ในมือ ถึง 60 กว่าที่นั่ง  และยังมีแผนเปิดเกมบุก เข้าไปชิงพื้นที่ในอีกหลายภาค ทั้งทางตรงและทางอ้อม

แน่นอนว่า เบื้องหน้าของพรรคภูมิใจไทยมีอนุทิน และ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรค แล้ว อย่าลืมว่า เบื้องหลังคือ “บารมี” ของ “เนวิน ชิดชอบ” ที่แม้เจ้าตัวจะทิ้งระยะห่างจากพรรค และจากการเมือง แต่แท้จริงแล้วเนวิน กลับไม่ได้หายไปไหน

พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้มีเป้าหมายไปที่การเจาะเข้าไปที่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ในโซนอีสานเท่านั้น หากแต่ยังส่ง “ขุนพล” ลงไปปักหลักทั้งภาคกลาง ตะวันออก ตะวันตกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่ภาคใต้ ที่พรรคเพื่อไทย ไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ คงอาศัยการทำงานของ “พรรคพันธมิตร” อย่าง “พรรคประชาชาติ” ที่จะทำหน้าที่ตรึงพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรอบนี้จะมีทั้งสิ้น 12 เขตเลือกตั้ง

ปัญหาของพรรคเพื่อไทย  ที่วันนี้พรรคภูมิใจไทย นำนโยบายกัญชาเสรี ขึ้นมาขาย กวาดคะแนนเสียงแล้ว ยังจะกลายเป็น “ศัตรูเก่า” ทางการเมืองที่มีนัยสำคัญ เพราะอย่าลืมว่า แม้อนุทิน จะเคยระบุถึงความขัดแย้งระหว่างทักษิณ กับเนวิน ในวันวานว่าเป็นเรื่องของอดีต ไปแล้วก็ตาม

แต่ในอีกด้านหนึ่ง พรรคภูมิใจไทยเอง ย่อมประเมินได้ไม่ยากว่า พรรคควรจะเลือกเดินทางไหน เลือกจับขั้วกับ ใคร จึงจะสามารถ “ต่อยอด” เส้นทาง บนถนนสายการเมืองให้ยาวไกล ออกไป โดยไม่จำเป็นต้อง “ชนะแบบแลนด์สไลด์” ให้เหน็ดเหนื่อย

หากเบื้องหลังของพรรคเพื่อไทย คือทักษิณ ก็เช่นเดียวกับที่เบื้องหลังของ ภูมิใจไทยมี เนวิน ที่วันนี้ยังไม่มีใครการันตีได้ว่าทั้งคู่ นั้นโกรธแค้นถึงขั้น “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” กันจริงหรือไม่ แต่การเลือกผูกไมตรีกับ พรรคพลังประชารัฐ ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค น่าจะเป็นทางเลือก ที่ได้ประโยชน์และเป็นไปได้มากที่สุด สำหรับ เนวิน “บิ๊กบอส” ของภูมิใจไทย !