ไม่ใช่แค่ยอมรับว่า พปชร. เป็นรองพรรคเพื่อไทยเท่านั้นแต่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังยอมรับอีกว่า พปชร.ตกต่ำ 

หลังจากแพ้ศึกเลือกตั้ง สมาชิกสภากรุงเทพฯ(ส.ก.) และกระแสความแรงของ ผู้ว่าฯชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตามมาด้วย นิด้า โพลล์ ที่ชี้ชัดว่า เสียงส่วนใหญ่ หนุน “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ

“ก็เรายอมรับ แล้วไงว่าพรรคพลังประชารัฐตกต่ำ เรากำลังดำเนินการแก้ไข อยู่”  พล.อ.ประวิตร ระบุ

การแอ่นอกยอมรับ เช่นนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ ของ พล.อ.ประวิตร ดูดีขึ้น ที่ยอมรับความจริง แตกต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์   ที่ระบุว่า ผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ และ สก. ก็แค่จังหวัดเดียว ไม่ใช่ทั้งประเทศ ส่วน นิด้าโพลนั้น นายกฯ ชี้ว่า โพลล์ก็คือโพล ทำตั้ง 3-4 โพลล์ แต่ไม่เห็นตรงกันสักอัน

ทั้งมองสาเหตุที่ทำให้เรตติ้งตก ว่าเป็นเพราะสื่อ “ก็ลองเปิดดูแล้วกัน ตั้งแต่หน้า 1 ถึงหน้า 4 หน้า 5 หน้า 6 บางเล่ม ไม่มีอะไรดีสักอัน มองให้มันเป็นธรรมหน่อยแล้วกัน ขอบคุณ”

เป็นที่น่าสังเกต ถึงท่าทีของ พล.อ.ประวิตร ที่เอ่ยปากยอมรับในความพ่ายแพ้ ตั้งแต่ เลือกตั้ง สก. และ ยอมรับว่า ต้องปรับปรุงแก้ไข “ในพรรค พปชร. ต้องสามัคคี ร่วมมือกันให้มากขึ้น” พล.อ.ประวิตร ระบุ

ที่เห็นได้ชัดคือ การที่ พี่น้อง 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์  กับ พล.อ.ประวิตร หันมาโชว์ภาพความหวานชื่นแนบแน่น กันอีกครั้ง หลังกระแสพรรคพปชร.ตกต่ำ เพราะถูกมองว่า เพราะปัญหาความขัดแย้ง แตกแยกของ ทั้งคู่ ที่ส่งผลให้  ส.ส.ในพรรค ไม่มั่นใจว่า พปชร.จะไปรอด หรือไม่ พรรคจะแตกหรือไม่

โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร จะยังคงจับมือต่อสู้กันต่อไป จริงหรือไม่  ท่ามกลางกระแสข่าวลือต่างๆนานา ว่า พล.อ.ประวิตร  ไม่สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์  ไปต่อแล้ว เพราะคะแนนนิยมตก คนเบื่อหน่าย  โดย พล.อ.ประวิตร จะเป็นนายกฯเอง บ้าง  มีนายกฯคนใหม่ เตรียมไว้แล้วบ้าง และโดยเฉพาะ กระแสข่าว ดีลพิเศษ ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐ ระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

ดังนั้น  พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จึงต้องพยายามสยบข่าวเหล่านี้ด้วยการแสดงภาพของความ กลมเกลียว เพื่อให้ ส.ส. มั่นใจว่า พรรคพลังประชารัฐไม่แตก ไม่เป็นพรรคเฉพาะกิจ แต่จะก้าวเดินต่อไปเพื่อป้องกันการย้ายพรรค

พร้อมๆกับ การที่พล.อ.ประวิตร สั่งปรับกลยุทธ์ เพื่อเรียกคะแนนนิยมของพรรคพลังประชารัฐกลับคืนมา ทั้งการเดินสายโรดโชว์ ลงพื้นที่ ทุกภาค และระดมการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ และ โซเชียลมีเดีย

กระนั้นจะเห็นได้ว่า  พล.อ.ประวิตร ก็เลี่ยงที่จะพูดว่า ในเมื่อเรตติ้ง พล.อ.ประยุทธ์ ตกลง  แล้วจะยังเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดทนายกฯ แค่ชื่อเดียว ของ พปชร. ในการเลือกตั้ง สมัยหน้า หรือไม่ หรือจะเพิ่มชื่อแคนดิเดท เพิ่มจุดขาย

“อันนี้เป็นเหตุการณ์ข้างหน้า อย่าเพื่งถาม  ถามตอนนี้ ผมก็ตอบเองคนเดียวไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของพรรค คุณจะให้ผมตอบยังไง” พล.อ.ประวิตร  ระบุ

โดยถูกตีความว่า ท่าทีแบบนี้ คำพูดแบบนี้ เป็นการเปิดช่อง ให้เป็นเรื่องของพรรค  หรือกรรมการบริหารพรรค ในการตัดสินอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่ พล.อ.ประวิตร จะตัดสินใจคนเดียวได้ เพราะเมื่อถึงเวลา พล.อ.ประวิตร อ้างเรื่องมติคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ในการเสนอชื่อ แคนดิเดท นายกฯ มากกว่า 1 ชื่อ เพื่อเป็นเหตุผล และไม่ให้ผิดใจกับพล.อ.ประยุทธ์

ด้วยเพราะ ท่าทีของพล.อ.ประวิตรเอง ก็ดูแปลกๆ ดูไม่เต็มที่ กับ พล.อ.ประยุทธ์เท่าใดนัก ในการที่จะไปต่อ และให้กลับมาเป็นนายกฯ สมัยหน้า พล.อ.ประวิตร เคยตอบ เมื่อถูกถามว่าจะจับมือกับ พล.อ.ประยุทธ์ เดินหน้าต่อไปใช่หรือไม่ว่า นายกฯทำงานทุกวัน ทำมา 8 ปี แล้ว คิดว่า นายกฯเหนื่อยมั้ย ลองไปถาม นายกฯดูสิ

ที่ถูกตีความว่า เป็นการ ชี้นำให้เห็นว่า พล.อ. ประยุทธ์ เหนื่อย และควรจะต้องให้พักผ่อน ใช่หรือไม่ นั่น เป็นภาพที่ พล.อ.ประวิตร ถูกมองว่า ไม่หนุน น้องตู่ ไปต่อ

ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เองก็แสดงออกถึงความมุ่งมั่น ที่จะไปต่อโดยเน้นเรื่องการทำงาน ที่ต่อเนื่อง

แม้จะมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์อยากจะพัก จะไม่ไปต่อบนถนนการเมือง อยากจะพอแล้ว ก็ตาม แต่ก็เพราะว่าไม่สามารถหาคนที่เหมาะสม คนที่ใช่ มาแทนได้ จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องไปต่อ

มีรายงานว่าเหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้อง ไปต่อ เพราะ พล.อ.ประวิตร ก็ต้องการไปต่อเช่นกัน แต่ห่วงพี่ชายว่าจะตกเป็นเหยื่อ ของนักการเมือง ที่มาหลอก หรือแสวงหาประโยชน์ ที่ห่วงมากที่สุดคือ พล.อ.ประวิตร ยังคงฟัง และ ให้ความสำคัญกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ที่แสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับพลเอกประยุทธ์ มายาวนาน

และยังห่วง พล.อ.ประวิตร กับ นักการเมือง ที่ใกล้ชิดข้างกาย และ รอบกาย หลายคน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ไว้วางใจ

จนต้องแอบเช็คข่าว กับทีมงานของ พล.อ.ประวิตร ถึงเรื่องต่างๆ ด้วยความเป็นห่วงพี่ชาย 

ในขณะเดียวกัน ก็ถูกมองว่าเป็นการล้วงความลับ ติดตามความเคลื่อนไหวของพี่ชาย จากคนใกล้ตัวพี่ชายเอง ที่ก็ล้วนมีความสนิทสนมใกล้ชิดกัน จนบ่อยครั้งที่ทำให้ต้องมีเรื่องคาใจกับ พล.อ.ประวิตร 

บางเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่กล้าถามโดยตรง กับ พล.อ.ประวิตร  แต่แอบถามกับคนใกล้ชิดหรือแอบสืบข่าวจนถูกมองว่า หวาดระแวง พล.อ.ประวิตร ว่าจะแอบมีดีล อะไรกับใคร หรือ ร.อ.ธรรมนัส วางแผนอะไร มาคุยอะไรกับ พล.อ.ประวิตร บ้าง รวมถึง ติดตามความเคลื่อนไหวของ “อาจารย์แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และ อดีต รมช.แรงงาน  ที่ พล.อ.ประวิตร ยังใช้งานและให้ความไว้วางใจ

ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่คุยกันให้ชัดเจน  แต่คุยกันแบบ เกรงใจ และ แบบกั๊กกันเอง พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องมีการเตรียมแผนสำรองเอาไว้ โดยการยังคงสถานภาพของ พรรครวมไทยสร้างชาติเอาไว้  แม้จะไม่มีความคืบหน้าในการเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง           

ขณะที่ พล.อ.ประวิตรเองก็ถูกจับตามองหลังจากมีข่าวว่า พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ถูกบีบให้ลาออกจากพรรคเศรษฐกิจไทยไปตั้งพรรคพลังไทยชัยชนะ ขึ้นมาและถูกมองว่าเป็นพรรคสำรองของ พล.อ.ประวิตร  ที่มาทดแทนพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ ร.อ.ธรรมนัส บริหารจัดการเอง เพราะคุม ร.อ.ธรรมนัส ไม่ได้แบบ 100%           

ประเด็นนี้ ก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์หวาดระแวงเช่นกันว่า พล.อ.ประวิตร มีแผนการใด ไว้ในใจ เหล่านี้ จึงทำให้อนาคตทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงอยู่บนเส้นด้าย เพราะอยู่ในสถานภาพที่ว่า จะหยุด ก็ไม่ได้ ไปต่อก็เหนื่อย แต่ก็ต้องไป  แล้วไปโดยลำพังก็ไม่ได้ จะต้องมี พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ ประคอง ด้วย           

กล่าวกันว่า พล.อ.ประวิตร ร่างกายจะไม่ค่อยแข็งแรง ขาอาจจะไม่ค่อยดี เดินกะเผลกๆ แต่สมอง ความคิด และกลยุทธ์ต่างๆ ยังคงเฉียบคม แบบที่น้องชาย อาจคาดไม่ถึง ก็เป็นได้         

รอดู!! อีกไม่นาน