คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

           

ขณะนี้เกิดสองประเด็นร้อนๆขึ้นในสหรัฐอเมริกาที่น่าจะหยิบยกนำมาวิเคราะห์ โดยกระแสแรกที่เกิดขึ้นมาในขณะนี้ได้สร้างความตระหนกตกใจอกสั่นขวัญแขวนให้แก่บรรดาพี่น้องชาวเอเชียที่ได้ตกเป็นเป้าของการถูกทำร้าย บางรายเคราะห์ร้ายถูกยิงจนเสียชีวิต!!!

           

และจากผลของการหยั่งเสียง Pew Research ซึ่งเป็นโพลที่ได้รับความน่าเชื่อถือเป็นอย่างสูงในสหรัฐฯเปิดเผยล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2022 ที่ผ่านมาว่า  ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียประมาณหนึ่งในสามกล่าวว่าพวกเขาจำต้องเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน เนื่องมาจากเกิดความวิตกกังวลในเรื่องภัยคุกคาม การถูกโจมตีทำร้าย โดยความรุนแรงเยี่ยงนี้กำลังมีเพิ่มมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา และตามโพลดังกล่าวยังระบุอีกว่า การกระทำความรุนแรงต่อชาวเอเชียมีเพิ่มสูงขึ้นถึง 63%

            

นิตยสาร “Greater Good Magazine”  เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ.2021 ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ชาวเอเชียต้องถูกเกลียดชังที่มีเพิ่มมากขึ้นอย่างช้าๆเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา สืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มต้นมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน โดยขณะนั้น “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ได้ออกมากล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าโควิด-19 เป็น “ไวรัสจีน”

            

และจากการรายงานของสำนักข่าว “BBC News” เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2020 อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมากล่าวว่า เขาได้เห็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเชื้อไวรัสโคโรน่ามาจากจีนและน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากห้องปฏิบัติการของจีน!!!

 ส่วนจีนก็ได้ออกมากล่าวปฏิเสธถึงทฤษฎีห้องปฏิบัติการ และยังวิพากษ์วิจารณ์กลับไปยังสหรัฐฯว่า เป็นตัวแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด- 19 ส่งไปสู่จีน

            

และจากการศึกษาขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในรัฐแคลิฟอร์เนียชื่อว่า “Asian American-Pacific Islander Equity Alliance” ที่ได้ทำการสำรวจระหว่างเดือนมีนาคม 2020 ถึง เดือนกันยายน 2021 เปิดเผยออกมาว่า  จากการสำรวจคนอเมริกัน10,370 ราย ปรากฏว่าพวกเขาแสดงออกถึงความเกลียดชังต่อคนเชื้อสายเอเชียแทบทั้งสิ้น

  

และจากการสำรวจเพิ่มเติมขององกรค์กรนี้ยังระบุต่อไปว่า เกือบครึ่งของการที่ชาวเอเชียถูกทำร้ายหรือถูกต่อต้านระหว่างปี 2020-2021 ได้รับแรงจูงใจและความโกรธเคืองเกี่ยวพันมาจากเชื้อไวรัสโควิด-19

            

ล่าสุดนี้มีข่าวใหญ่เกิดขึ้นในสหรัฐฯโดยมีนักศึกษาปริญญาเอก เชื้อสายจีนอายุ 26 ปี  ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน เคราะห์ร้ายถูกชายหนุ่มห้าคนรุมทำร้ายร่างกายใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยที่เขาศึกษาอยู่ โดยนักศึกษาคนนี้เล่าว่า “เมื่อคืนวันอังคาร 15  มิถุนายน 2022 นี้ ขณะที่เขากำลังเดินกลับบ้านไปตามถนนยูนิเวอร์ซิตี ได้มีกลุ่มผู้ชายห้าคนเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังผลักเขาจนล้มลงไปนอนที่พื้น และพวกนั้นก็รุมเตะและต่อยซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส (ข่าวจากThe Daily Cardinal วันที่ 18 June 2022)

            

อนึ่งเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2021 ได้เกิดเหตุทำร้าย “คุณวิชา รัตนภักดี” ชาวไทย สัญชาติอเมริกันอายุ 84 ปี โดยวัยรุ่นผิวสีชาวอเมริกัน วัยแค่เพียง 19 ปี ในเมืองซานฟรานซิสโก ตอนกลางวันแสกๆด้วยซ้ำไป น่าเศร้าที่ต่อมาคุณวิชาต้องเสียชีวิตลงขณะที่นำตัวส่งโรงพยาบาล!!!

           

ทั้งนี้หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้วประมาณ 500 วัน “ผู้พิพากษา ริชาร์ด ดาร์วิน” แห่งศาล ณ นครซานฟรานซิสโก ได้แถลงว่า “มีหลักฐานเพียงพอต่อข้อกล่าวหาที่ว่าคุณวิชา รัตนภักดีถูกสังหารโดยเจตนา

            

อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า ในสหรัฐอเมริกามีชาวเอเชียที่ได้รับสัญชาติอเมริกันมากถึง 22.9 ล้านคน  โดยส่วนใหญ่มักจะมองไปว่าเป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมืองและด้านการศึกษา

            

และน่าแปลกที่ว่าแม้สหรัฐฯจะมีจำนวนประชากรประมาณ 332 ล้านคนก็ตาม แต่กลับปรากฏว่ามีผู้ครอบครองอาวุธปืนมากถึง 434 ล้านกระบอก และคนอเมริกันส่วนใหญ่ก็มีอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติมากถึง 19.8 ล้านกระบอก

            

นอกจากนั้นแล้วจากการรายงานของหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal พบว่า ยังมีกลุ่มทหารอาสาสมัครรับจ้างหลายร้อยกลุ่มทั่วประเทศสหรัฐฯ และได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ  โดยกองกำลังเหล่านี้ประกอบด้วยชายผิวขาวหัวอนุรักษนิยมขวาจัด หัวรุนแรง และพวกเขาพูดอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับการกบฏติดอาวุธ

            

จากผลของการสำรวจของ John Zogby เมื่อปี 2021 พบว่า ชาวอเมริกันถึง 46% เชื่อว่า ขณะนี้ข้อขัดแย้งอย่างรุนแรงในสหรัฐฯเกิดขึ้นแล้วและกำลังจะกลายเป็นประเด็นร้อนที่จะนำไปสู่สงครามกลางเมือง ซึ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่มาจาก การเหยียดสีผิว ความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติ การไม่ควบคุมเรื่องการครอบครองอาวุธปืน ความไม่ชอบธรรมต่อผลการเลือกตั้ง และความขัดแย้งทางด้านการเมือง

            

และแทบจะไม่น่าเชื่อเลยว่าศาลฎีกาของสหรัฐฯตัดสินให้ผู้คนในบางรัฐยกเลิกข้อจำกัดในการพกอาวุธปืนคือแคลิฟอร์เนีย นิวเจอร์ซีย์ แมริแลนด์ ฮาวาย และ แมสซาชูเซตส์

            

ซึ่งกฎหมายด้านการครอบครองปืนครั้งใหม่นี้ ถือเป็นการขยายสิทธิตามรัฐธรรมนูญเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากกฎหมายเก่าที่อนุญาตให้พกพาแค่ในบ้านพักส่วนบุคคล แต่ขณะนี้ได้เพิ่มเติมขึ้น โดยรวมไปถึงร้านอาหารและห้างสรรพสินค้า  และหากเป็นเช่นนี้แน่นอนว่าผลที่ตามมาก็คือ จะต้องมีผู้คนต้องกลายเป็นเป้าถูกยิงมากขึ้นอีกด้วย!!!

            

การขอใบอนุญาตพกพาปืนในที่สาธารณะนั้น ผู้ที่ต้องการจะขอใบอนุญาตจะต้องแสดงให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเห็นถึงความจำเป็นว่า เพราะเหตุใดและทำไม?

            

แต่ในทางกลับกันฝ่ายเสรีนิยมที่สนับสนุนให้ประชาชนมีสิทธิในการพกพาอาวุธได้ต่างก็ออกมากล่าวอ้างว่า ประชาชนไม่จำเป็นต้องแสดงถึงความจำเป็นในการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญการครอบครองอาวุธ

           

ส่วนกระแสข่าวร้อนๆอันดับที่สองก็คือ การถ่ายทอดสดของคณะกรรมการสืบสวนเหตุโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯเมื่อ 6 มกราคม 2020 ซึ่งได้กลายเป็นเรื่องราวที่ชาวอเมริกันให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ

            

โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคม 2020 ที่มีอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อยู่เบื้องหลังพยายามจะล้มล้างผลการเลือกตั้งปีค.ศ. 2020 ที่ได้มีการถ่ายทอดสดการไต่สวนทางโทรทัศน์เผยแพร่ออกสู่สายตาของสาธารณชนครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2022 จนสามารถเรียกเรทติ้งกระฉูดดึงดูดผู้ชมได้ถึง 20 ล้านคน และในภาคกลางวันก็มีผู้ชม 11 ล้านคน ต่อมาครั้งที่สามก็มีผู้ชมกว่า 9 ล้านคนอีกด้วย

            

อนึ่ง “อดีตอัยการสูงสุดวิลเลียม บารร์” ได้เล่าถึงบันทึกคำให้การว่า “ข้าพเจ้าได้บอกอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไปแล้วว่า ไม่พบหลักฐานการคดโกงการเลือกตั้ง”

นอกจากนั้น “อีวานกา ทรัมป์” ธิดาคนโปรดของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้แสดงความคิดเห็นว่า “การประเมินของอัยการบารร์ก็ดูสมเหตุสมผลในเรื่องที่กล่าวว่า ไม่มีการฉ้อโกงการเลือกตั้ง”

 

จากการให้สัมภาษณ์ในรายการ “เดอะวีก”ช่องเอบีซีของ “ส.ส.อดัม คินซิงเกอร์” สังกัดพรรครีพับลิกัน โดยส.ส.ผู้นี้พยายามขัดขวางการกระทำของผู้นำในพรรครีพับลิกัน ซึ่งเขาได้รับหน้าที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริง และเขายังได้กล่าวเตือนว่า “หากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่ยุติการพูดโกหก ก็อาจจะนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของระบอบประชาธิปไตย”

 ทั้งนี้ส.ส.อดัม คินซิงเกอร์ ได้กล่าวต่อไปอีกว่าเป้าหมายหลักของคณะกรรมการสืบสวนความจริงของเหตุการณ์ 6 มกราคม 2020 ก็คือต้องการที่จะให้คนอเมริกันเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาเอ่ยปากกล่าวซ้ำๆว่า เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งเพราะถูกโกงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

           

และจากผลการหยั่งเสียงของสถานีโทรทัศน์ เอบีซี ที่ได้ออกสำรวจความคิดเห็นล่าสุดของคนอเมริกันปรากฏว่า ชาวอเมริกันถึง 58% เห็นสมควรที่จะให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถูกตั้งข้อหาทางอาญา โดยสมาชิกพรรคเดโมแครต 91% มีความเห็นว่าอดีตประธานาธิบดีควรถูกข้อหาทางอาญา ส่วนสมาชิกพรรครีพับลิกันเพียงต้องการทำโทษอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เพียง 19%

 

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นสองกระแสข่าวร้อนๆที่กำลังเกิดขึ้น ล้วนแล้วมาจากการเคลื่อนไหวของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แทบทั้งสิ้น แต่เนื่องจากเขาเป็นผู้คุมบังเหียนภายในพรรครีพับลิกันค่อนข้างเบ็ดเสร็จ เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าเขาคงจะเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองในพรรคต่อไปอีกยาวนาน และไม่แน่ว่าเขาอาจจะลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯในปี 2024 ก็เป็นไปได้ละครับ