คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ดูเหมือนว่าขณะนี้สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนกำลังยืดเยื้อออกไปทุกทีทุกทีและยิ่งนานเท่าใด ก็ยิ่งจะสร้างความหวั่นวิตกรวมถึงสร้างผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติทั่วโลกเพิ่มมากยิ่งๆขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้สาเหตุหลักๆของสงครามยูเครนมาจากหลายๆปัจจัยด้วยกัน อาทิ การแย่งชิงผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ การแก่งแย่งทรัพยากรธรรมชาติ ความไม่ลงรอยกันในด้านระบบการปกครอง และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ความต้องการที่จะเป็นใหญ่ของสองประเทศอภิมหาอำนาจระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซียนั่นเอง!!! ในขณะที่สงครามยูเครนกำลังเพิ่มความตึงเครียดเสี่ยงที่จะขยายกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สามมากยิ่งๆขึ้นนั้น มีผลทำให้สหรัฐอเมริกาก็รีบเร่งสานสายใยขยายอาณาเขตเพิ่มชาติพันธมิตรให้แก่องค์การนาโตมากขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เมื่อวันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2022 ที่เพิ่งผ่านมานี้ ประเทศสวีเดนและประเทศฟินแลนด์อดรนทนไม่ไหวตัดสินใจออกมาประกาศขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในสมาชิกขององค์การนาโต้ ถึงแม้ว่า200ปีที่ผ่านมาสวีเดนจะเคยวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ตามที อนึ่ง “ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน” ได้เขียนบทความยาว 6,900 คำ ที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2021 แล้วว่า หากสวีเดนเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การนาโต้ รัสเซียจะใช้มาตรการอันรุนแรงตอบโต้อย่างแน่นอน (จาก The Times Examiner เขียนโดย Michael Scrupps ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรัสเซียในหัวข้อเรื่องว่า “What is on Putin’s Mind: July 12, 2021) และถึงแม้ว่าสวีเดนจะมีความรู้สึกหวาดหวั่นต่อคำขู่ของปูตินมิใช่น้อยเลยก็ตาม แต่ “นายกรัฐมนตรีแม็กดาเลนา แอนเดอร์สสัน” ก็ยังคงมุ่งเดินหน้า โดยเธอได้ออกมาแถลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “สวีเดนอยู่ในตำแหน่งที่แสนเปราะบาง แต่อย่างไรก็ตามพลเมืองของสวีเดนพร้อมแล้วสำหรับการตอบโต้ของรัสเซีย” (ข้อมูลจากสำนักข่าวเอพีวันที่ 16 พฤษภาคม 2022) ทั้งนี้ผู้นำสวีเดนดำเนินการอย่างลับๆในการที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การนาโตมานานแล้ว แต่ก็ต้องไม่ลืมอีกด้วยว่าสวีเดนก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการผลิตอาวุธรายใหญ่ของโลกอย่างเงียบๆไม่กระโตกกระตากเช่นกัน โดยปีค.ศ. 2021 สวีเดนส่งอาวุธสงครามมีมูลค่าการส่งออกมากถึง 2 พันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว!!! โดยขณะนี้สวีเดนกำลังเร่งฝึกฝนวิธีการใช้ขีปนาวุธต่อต้านรถถังที่สวีเดนออกแบบเองอีกทั้งสวีเดนยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกองกำลังทหารเป็น 4,000 นายจากปัจจุบันมีแค่เพียง 400 นาย สำหรับฟินแลนด์ซึ่งมีอาณาเขตพรมแดนอยู่ชิดติดกับรัสเซียเป็นระยะทางยาว 830 ไมล์ ซึ่งฟินแลนด์ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ละทิ้งความเป็นกลางจะเข้าร่วมกับองค์การนาโต้และอย่าลืมว่าฟินแลนด์ถูกรัสเซียบุกถึงสองครั้ง และในการแถลงข่าวของสองผู้นำแห่งฟินแลนด์อันได้แก่ “นายกรัฐมนตรีซันนา มาริน” ร่วมกับ “ประธานาธิบดีเซาลี นีนิสเตอ” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2022 นี้มีใจความว่า” “วันนี้ข้าพเจ้าทั้งสองร่วมกับคณะกรรมการนโยบายต่างประเทศและคณะรัฐบาลตัดสินใจแล้วว่า ฟินแลนด์จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การนาโต้” หลังจากที่ฟินแลนด์ประกาศเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การนาโต้ไม่นานนัก ปรากฏว่านายกรัฐมนตรีแม็กดาเลนา แอนเดอร์สสัน แห่งสวีเดน ก็ได้ออกแถลงการณ์กล่าวชื่นชมสนับสนุนฟินแลนด์ ทันทีทันใดรัสเซียก็ออกโรงมาประกาศกร้าวว่า “การที่ฟินแลนด์เข้าไปเป็นสมาชิกของนาโตถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แสนรุนแรง” นอกเหนือจากนั้นเมื่อวันเสาร์ที่แล้วประธานาธิบดีเซาลี นีนิสเตอ แห่งฟินแลนด์ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีปูติน เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการตัดสินใจของฟินแลนด์ คราวนี้ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้สหรัฐฯกำลังก้าวขาเอาตัวเข้าไปเกี่ยวพันในสงครามยูเครนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้นำทางการเมืองของสหรัฐฯทั้งสองค่ายพรรคต่างก็ออกเดินทางไปเยือนยูเครน ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม 2022 “วุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนล” นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลแห่งค่ายพรรครีพับลิกัน ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาได้ออกเดินทางเยือนยูเครน โดยมี “ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี” แห่งยูเครนกล่าวต้อนรับว่า “ขอบคุณสำหรับการที่สหรัฐฯช่วยเหลือสนับสนุนในการต่อสู้กับรัสเซีย” และ “รัฐมนตรีต่างประเทศแอนโทนี บลิงเคน” และ “รัฐมนตรีกลาโหมลอยด์ ออสติน” ก็เคยเดินทางไปเยือนกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน มาแล้วเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2022 ตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนในช่วงแรกๆ “ประธานสภาฯแนนซี เพโลซี” นักการเมืองผู้ทรงมีอิทธิพลสูงมากในการเมืองสหรัฐฯ ก็เคยเดินทางไปเยือนเมืองหลวงของยูเครน หรือแม้แต่ “จิล ไบเดน” สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ยังเดินทางไปเยือนยูเครนเป็นการส่วนตัว โดยมิได้แจ้งล่วงหน้าอย่างเป็นทางการอีกด้วย!!! คงจะเป็นสัญญาณบอกเหตุที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ขณะนี้ยูเครนได้รับการโอบอุ้มสนับสนุนจากทั้งสองค่ายพรรคการเมืองยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯอันได้แก่ ค่ายพรรครีพับลิกัน และค่ายพรรคเดโมแครตเป็นอย่างดี นอกเหนือจากนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังได้เรียกประชุมสุดยอดด่วนกับกลุ่มประเทศอาเซียนเมื่อวันที่ 13 เมษายนนี้ที่ทำเนียบขาวที่เรียกว่า “การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกาสมัยพิเศษ (ASEAN –US Special Summit)” ณ กรุงวอชิงตัน โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยเข้าร่วมประชุมด้วย โดยเป้าหลักของประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็เพื่อรวมพลังแนวร่วมให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการต่อต้านไม่ให้จีนเข้าไปครอบงำประเทศในแถบทวีปอินโดแปซิฟิกและประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ให้คำมั่นสัญญา 150 ล้านดอลลาร์แก่ผู้นำอาเซียนอีกด้วย และในวันพฤหัสบดีที่แล้วผู้นำของกลุ่มประเทศอาเซียนยังได้พบปะกับประธานสภาฯ แนนซี เพโลซี เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจกับรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชยย์และผู้บริหารของภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯด้วย และระหว่างวันที่ 20-24 พฤษภาคม 2022 นี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อร่วมเข้าพบกับผู้นำของประเทศออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่น ขณะที่โลกกำลังมีความตึงเครียดสูงมากยิ่งๆขึ้นตามลำดับ จะเห็นได้ว่าทั้งสองประเทศอภิมหาอำนาจสหรัฐฯและรัสเซียเริ่มเคลื่อนไหวแสดงท่าทีต้องการที่จะเพิ่มชาติพันธมิตรให้แก่ฝ่ายของตน โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม สองระบอบ โดยกลุ่มประเทศหลักๆที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะเข้าสังกัดกลายเป็นพันธมิตรอันดียืนเคียงข้างสหรัฐฯอย่างค่อนข้างแน่นอนแล้วก็มีอาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี ญี่ปุ่น อิสราเอล ไต้หวัน และเกาหลีใต้ สำหรับฝั่งของรัสเซียก็จะมีชาติพันธมิตรหลักๆเช่น จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ และเมื่อใดก็ตามที่โหมดสงครามโลกบังเกิดขึ้น บรรดาประเทศต่างๆที่เกาเหลาไม่กินเส้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่แล้วก็จะเริ่มประจัญบานเข้าโจมตีกันและกัน อาทิเช่น อิสราเอลมีแนวโน้มที่จะเข้ารบราฆ่าฟันกับอิหร่าน!!! กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นค่อนข้างเด่นชัดแล้วว่าประเทศที่อยู่รอบๆรัสเซียต่างก็เกรงกลัวรัสเซียเพราะในประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่ารัสเซียมิได้พยายามสร้างความผูกพันเป็นมิตรกับประเทศต่างๆได้เหมือนกับสหรัฐอเมริกา อีกทั้งสหรัฐอเมริกาก็กำลังเร่งระดมพลกระจายอำนาจเสริมสร้างความแข็งแกร่งในนาโตและขณะนี้สหรัฐฯกำลังดึงเอาประเทศพันธมิตรเข้าไปร่วมทำสงครามกับรัสเซีย และขณะนี้ดูเหมือนว่ากลิ่นไอของสงครามกำลังฟุ้งกระจายจนทำให้หลายๆประเทศต้องตัดสินใจเลือกฝ่าย แต่อย่างไรก็ตามไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าในใจส่วนลึกๆทางออกที่ดีที่สุดก็คือรัสเซียและสหรัฐฯ สมควรจะหันหน้ามาเจรจาเพื่อหาทางพักรบยุติสงครามยูเครนละครับ