ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “การสลัดหลุดจากปมเงื่อนของชีวิตที่พันผูกอยู่กับความยุ่งยาก นับเป็นสิ่งที่ช่วยยึดพยุงชีวิตของเราทุกคนให้ดีขึ้น มันคือพัฒนาการของการมองโลกในมุมกลับ ที่ช่วยให้ชีวิตในความเป็นชีวิตมีความหวังที่จะดำรงอยู่มากขึ้น...ว่ากันว่า...หลายๆคนใช้เวลาทั้งชีวิตมุ่งทำตามความคาดหวังของคนอื่น...โดยที่บางคนก็ยอมทิ้งความฝัน เพื่อทำในสิ่งที่ใครๆบอกว่าดี และพากันคิดว่านั่นจะทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความสำเร็จและความสุข...แต่กลับหารู้ไม่ว่า การกระทำเช่นนั้น จักย้อนมาทำร้ายตัวของเราเอง” ปฐมฐานทางความคิดเบื้องต้นคือพลังแห่งสาระของหนังสือที่มียอดขายถล่มทลายมากกว่า2ล้านเล่มทั่วโลก ...ติดชาร์ตหนังสือ Amazon 37 สัปดาห์ติดต่อกัน และเป็นหนังสือขายดีของ “นิวยอร์ก ไทม์” ..... “ชีวิตติดปีกด้วยศิลปะแห่งการช่างแ*ง (THE SUBTLE ART OF NOT GIVING A F*CK) งานเขียนอันลือลั่นของ”Mark Manson”และแปลเป็นภาษาไทยอย่างได้รสชาติ เสียดแทงอารมณ์ความรู้สึกและเต็มไปด้วยความเข้มข้นแห่งนัยของการรับรู้โดย “ยอดเถา ยอดยิ่ง”... “เพราะการแคร์ทุกคนเกี่ยวกับทุกสิ่ง ย่อมแปลว่าคุณต้องเสียสละบางอย่างที่สำคัญในชีวิตไปด้วย” นั่นเป็นภาวะความคิดที่สำคัญ ที่คนเราทุกคนต้องเปิดกว้างต่อการยอมรับ เพื่อจะได้ก้าวข้ามพ้นต่อความสยบยอมทางความคิดและการปฏิบัติที่ต้องจำยอมและเคยคุ้นอย่างเชื่องๆ.. Mark Manson นักเขียนและบล็อกเกอร์ที่มีผู้ติดตามนับล้านๆคน ได้ผสานหลัก ปรัชญา ศาสนา และ ประสบการณ์ ที่เขาได้ไปเยือนมาแล้วกว่า 55 ประเทศ...ขมวดรวมเป็นนัยทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้ ...หนังสือที่สามารถจะพลิกชีวิต หน้าที่การงาน และ ความสัมพันธ์ของคนเราให้ดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ พร้อมกับลีลาของสำนวนภาษา “สุดกวน” อันเป็นทั้งเอกลักษณ์และเสน่ห์ที่ตรึงใจแฟนคลับไปทั่วโลก... “สังคมสมัยใหม่ ได้ทำให้เกิดกลุ่มคนที่รู้สึกว่า ตัวเองสมควรที่จะได้รับทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องพยายามเพื่อให้ได้มันมา กลุ่มคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่ต้องแลกกับอะไรเลย กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ เจ้าของธุรกิจ นักประดิษฐ์ นักสร้างนวัตกรรม ผู้มีความคิดอิสระ และโค้ชในด้านต่างๆ ทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์จริงๆ คนเหล่านี้ทำแบบนี้ ไม่ใช่เพราะคิดว่า ตัวเองยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น แต่เพราะรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องยิ่งใหญ่ เพื่อจะได้รับในโลกที่สนใจแค่คนพิเศษเท่านั้น วัฒนธรรมของเราในทุกวันนี้ กำลังสับสนระหว่างการได้รับความสนใจอย่างยิ่งใหญ่กับการประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ...คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าทั้งสองอย่างคือสิ่งเดียวกัน แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย” “ Mark Manson”...ได้อธิบายขยายความประเด็นอันทบซ้อนและเหลื่อมซ้อนความรู้สึกตรงนี้ว่า..ตัวของเรายิ่งใหญ่อยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และนั่นก็ไม่ใช่ เพราะเราเปิดตัวแอพฯใหม่สำหรับไอโฟน หรือเรียนจบเร็วกว่าคนอื่นหนึ่งปี หรือมีเรือยอร์ต์สุดหรูเป็นของตัวเอง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่นิยามของความยิ่งใหญ่...เรายิ่งใหญ่เพราะต่อให้ต้องเผชิญกับความสับสนที่ไม่มีวันสิ้นสุด และความตายที่แน่นอน เราก็ยังคงสามารถเลือกได้ว่าอะไรที่ควรแคร์ และอะไรที่ควร “ช่างแม่ง” “ความจริงนี้ ความจริงที่คุณเป็นผู้เลือกค่านิยมให้กับชีวิตของตัวเองคือสิ่งที่ทำให้คุณเป็นเลิศอยู่แล้ว ทำให้คุณมีความสำเร็จอยู่แล้ว และทำให้คุณเป็นที่รักอยู่แล้ว ถึงแม้อาจไม่รู้ตัวก็ตาม ถึงแม้ว่าตอนนี้ คุณอาจจะต้องนอนข้างถนนและไม่มีอะไรกินก็ตาม คุณเองก็ต้องตายเช่นกัน และนั่นก็เพราะ คุณโชคดีพอที่ได้มีชีวิต ตอนนี้คุณอาจจะยังไม่รู้สึก แต่ลองไปยืนริมหน้าผาดูสิครับ...ชาร์ล บูเคาว์สกี เคยเขียนไว้ว่า ...เราทุกคนต้องตาย เราทุกคนเลย...มันช่างบ้าบอที่สุด ความจริงนี้ อย่างเดียว ก็น่าจะทำให้เรารักกันได้แล้ว แต่ไม่ใช่ เราหวาดกลัว และถูกทับถม ด้วยเรื่องไร้สาระของชีวิต เรากำลังถูกกลืนกินด้วยสิ่งที่ไร้ความหมาย...” เหตุนี้...การที่คนเราทุกคนจะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อ เราพร้อมที่จะล้มเหลวเท่านั้น ถ้าเราไม่กล้าที่จะล้มเหลว นั่นแสดงว่า เราไม่กล้าที่จะประสบความสำเร็จ...แต่จริงๆแล้ว การพัฒนาอะไรบางอย่าง เกิดจากความล้มเหลวย่อยๆ นับพันๆครั้ง เช่นเดียวกับความยิ่งใหญ่ในความสำเร็จของเรา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า เราต่างล้มเหลวมาแล้วกี่ครั้ง และถ้ามีใครเก่งกว่าเราในเรื่องไหนสักเรื่อง ก็เป็นไปได้อย่างมากว่า เพราะคนคนนั้นเคยล้มเหลวมามากกว่าเรา ถ้ามีใครไม่เก่งเท่าเรา ก็น่าจะเพราะ คนคนนั้นยังไม่เคยผ่านประสบการณ์การเรียนรู้อันเจ็บปวด เหมือนกับที่เราเคยผ่านมาแล้ว “ผมอยากให้คุณ ลองนึกถึงเด็กที่กำลังหัดเดิน เด็กคนนี้ต้องล้มและเจ็บตัวเป็นร้อยๆครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่เด็กคนนี้จะล้มเลิก และคิดว่า ... “อ่อ สงสัยการเดินคงไม่เหมาะกับฉันเท่าไหร่ ก็ฉันเดินไม่เก่งนี่นา”...การหลีกเลี่ยงความล้มเหลว เป็นสิ่งที่เราเริ่มทำตอนโตขึ้น ...ผมมั่นใจด้วยซ้ำว่าสาเหตุหลักนั้นมาจากระบบการศึกษาของเรา ที่ตัดสินเด็กจากผลการเรียนเป็นหลัก และลงโทษเด็กที่เรียนได้ไม่ดี” และหากจะพิจารณาในอีกส่วนหนึ่ง มันก็น่าจะมาจากการประคบประหงม ของพ่อแม่ที่ไม่ยอมให้ลูกทำอะไรผิดด้วยตนเองเลย ซ้ำยังทำโทษเด็กที่ต้องการลองสิ่งใหม่ๆ หรือสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นอกจากนี้...ยังมีสาเหตุมาจากสื่อที่คอยยัดเยียดข่าวความสำเร็จยิ่งใหญ่ในเรื่องต่างๆให้เราอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เคยพูดถึงเวลานับพันชั่วโมงที่หมดไปกับการฝึกฝนซ้ำๆ...จนกระทั่งได้มาถึงความสำเร็จนั้นๆ... “เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง เราเกือบทุกคนจะเข้าสู่ช่วงเวลาที่รู้สึกหวาดกลัวความล้มเหลว สัญชาตญาณ ของเราจะบอกให้เราหลีกเลี่ยงความล้มเหลว และยึดถือ เฉพาะสิ่งที่เราคว้าไว้ได้หรือสิ่งที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว...นี่คือสิ่งที่กักขังและปิดตาเราไว้..” แท้ที่จริง..ความสำเร็จทั้งหลายนั้นอยู่ที่ใจ...ปาโบล ปิกัสโซ...ในวัยชรากำลังนั่งอยู่ภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง...ในสเปน พร้อมกับวาดภาพขยุกขยิกลงบนกระดาษเช็ดปาก เขาไม่ได้คิดอะไรมากแค่วาด สิ่งที่อยากวาด ณ ช่วงเวลานั้น ซึ่งก็คงคล้ายกับเด็กวัยรุ่นที่ชอบวาดรูปจู๋ตามห้องน้ำ เพียงแต่นี่คือปิกัสโซ..การวาดรูปจู๋บนผนังห้องน้ำของเขาเลยกลายเป็นการวาดผลงานระดับปรมาจารย์สไตล์คิวบิสม์/อิมเพรสชันนิสม์ที่ถูกประทับอยู่เหนือคราบกาแฟบนกระดาษเช็ดปาก.. มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆกัน กำลังมองดูผลงานของเขาอย่างตื่นตาตื่นใจ..หลังจากผ่านไปสักครู่ ปิกัสโซดื่มกาแฟเสร็จ ก็ขยำกระดาษเช็ดปากแผ่นนั้น แล้วเขวี้ยงทิ้งไป ก่อนจะเดินออกจากร้าน... ผู้หญิงคนนั้นหยุดเขาไว้... “รอก่อนค่ะ” เธอเรียก “ฉันขอกระดาษเช็ดปากที่คุณเพิ่งวาดรูปไปได้ไหม? ฉันขอซื้อก็ได้” “ได้สิ... “ปิกัสโชตอบ” 2 หมื่นดอลลาร์” หญิงคนเดิมแทบหงายหลัง เหมือนกับเพิ่งถูกปิกัสโซเหวี่ยงหมัดใส่.. “หา? แต่คุณใช้เวลาวาดแค่ 2 นาทีเองนะ” “ไม่ใช่ครับ คุณผู้หญิง” ปิกัสโซพูด “ผมใช้เวลามากกว่า 60 ปีเพื่อที่จะวาดมัน” จากนั้นเขาก็ยัดกระดาษเช็ดปาก ลงในกระเป๋ากางเกง แล้วเดินออกจากร้านไป.. ***....คนเราต้องรู้จักปฏิเสธบ้าง เพราะไม่อย่างนั้น ก็เท่ากับว่า เรามองทุกอย่างดีเท่ากันหมด และการที่ทุกอย่างดี หรือสวยงามเหมือนกันหมด ก็คือไม่มีอะไรดีสักอย่าง ชีวิตแบบนั้นมันไร้ค่า มันแสดงว่าเราไม่มีเป้าหมายในชีวิตแม้แต่น้อย ...การหลีกเลี่ยงการปฏิเสธ และ การถูกปฏิเสธ มักจะถูกชูว่า เป็นวิธีที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ความสุขระยะสั้น ที่ได้จากการหลีกเลี่ยงการปฏิเสธนั้นกลับทำให้ชีวิตของเรา ไร้การควบคุม และ ไร้ทิศทางในระยะยาว.. “การจะรับรู้ถึงคุณค่าของอะไรสักอย่าง คุณต้องผูกตัวเองให้เข้ากับมัน คุณจะมีความสุขและความหมายในชีวิต ก็ต่อเมื่อคุณลงทุนเวลา เป็นสิบๆปี ไปกับความสัมพันธ์เดียว ทักษะเดียว หรือ อาชีพเดียว และ คุณจะไม่สามารถลงทุนเป็นเวลาสิบๆปี กับเรื่องเหล่านี้ได้ ถ้าคุณไม่รู้จักปฏิเสธตัวเลือกอื่น...” ในท้ายที่สุด...Mark Manson...ได้ตอกย้ำกับพวกเราทุกคนให้ตระหนักถึงความตายอย่างหาญกล้า ..ด้วยว่าเราทุกคน ควรกล้าคิดถึงความตาย เพราะมันช่วยให้เราทลายค่านิยม ห่วยๆ ที่เปราะบางและผิวเผินออกไปจากชีวิตของเราได้ ขณะที่คนส่วนใหญ่หมดเวลาในวันหนึ่งๆ ไปกับการหาเงินให้ได้มากขึ้น การหาชื่อเสียง และความสนใจให้ได้มากขึ้น หรือการหาความมั่นใจอีกสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการยืนยันว่า สิ่งที่พวกเขาทำนั้นถูกต้อง และมีคนชื่นชม แต่ความตายนั้น ทำให้เราต้องเผชิญกับคำถามที่เจ็บปวดและสำคัญมากที่สุดข้อหนึ่ง...นั่นก็คือ เราทิ้งอะไรไว้กับโลกใบนี้บ้าง?... “ความตายคือสิ่งเดียว ที่แน่นอน เราจึงต้องใช้ความตายเป็นเหมือน กับเข็มทิศ เพื่อนำทางค่านิยม และ การตัดสินใจอื่นๆของเรา ...นี่คือคำตอบที่ถูกต้องสำหรับคำถามที่เราควรถามแต่ไม่เคยได้ถาม วิธีเดียวที่จะช่วยให้เราเปิดใจยอมรับความตายได้ก็คือ ..การเข้าใจ และมองตัวเองในภาพกว้างกว่าที่เป็น การเลือกค่านิยม ที่มากกว่าแค่สนองความต้องการของตัวเอง ค่านิยมที่เรียบง่าย ส่งผลทันที และควบคุมได้ รวมทั้งไม่เปลี่ยนแปร ไปตามโลกอันวุ่นวายรอบตัวคุณ” ทั้งหมดนี้คือประเด็นหลักอันสำคัญของหนังสือแห่งการปรับสมดุลชีวิต ให้เราได้รับรู้ในรู้สึกถึงสิ่งที่เราเป็น โดยความหมายของความเป็นจริงอันเที่ยงแท้..การเฝ้ายึดติดอยู่กับความคิดแง่บวก การคิดถึงสิ่งที่ดีกว่า หรือสิ่งที่เหนือกว่า ยิ่งเป็นการตอกย้ำซ้ำไปในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น สิ่งที่เราขาด และ สิ่งที่เราน่าจะทำได้แต่ล้มเหลว คนทีมีความสุขแท้จริงจึงไม่มีทาง มายืนหน้ากระจก แล้วพูดซ้ำๆ กับตัวเองว่า ฉันมีความสุขหรอก...เพราะเขามีความสุขอยู่แล้ว... “วัฒนธรรมของเราในทุกวันนี้ หมกมุ่นอยู่กับความโลกสวย จงมีความสุขมากขึ้น จงมีสุขภาพดีขึ้น จงเป็นที่หนึ่ง จงเก่งกว่าคนอื่น จงฉลาดขึ้น เร็วขึ้น เซ็กซี่ขึ้น มีชื่อเสียงมากขึ้น ทำงานเก่งขึ้น มีคนอิจฉามากขึ้น เป็นที่รักของทุกคนมากขึ้น จงเป็นคนที่เพอร์เฟกต์ และเจ๋งเป้ง จงขี้ออกมาเป็นทอง 12 กะรัตทุกเช้า จงหอมแก้มบ๊ายบายเมียที่กำลังท้อง แล้วถ่ายรูปเซลฟี่น่ารักๆ กับลูกอีกสองคนก่อนออกจากบ้าน เสร็จแล้วก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินไปทำงานในฝันอย่างมีความสุข งานที่ช่างมีความหมายแบบสุดๆ แล้วกลายเป็น...ผู้กอบกู้โลกในสักวันหนึ่ง...”