"หมอชลน่าน" ดักทางรบ.อย่าคิดทำ "รัฐประหาร" อย่าซ้ำเติมประเทศ ฟันธงประชุมสภา 21 ส.ส. ตัวแปรสำคัญ ซัดอย่าเคลมเยือนซาอุฯ เป็นผลงานรบ. ด้าน "มงคลกิตติ์" งัดข้อกฎหมายจ้องเล่นงาน "บิ๊กป้อม-2รมต." ช่วย"สรัลรัศมิ์" หาเสียง หลังไม่พบชื่อเป็นผู้ช่วยหาเสียง "โฆษกรัฐบาล"สวน "จาตุรนต์"หา "บิ๊กตู่"ซื้อเวลา ขณะที่ "เอกชัย"บุกร้องกกต.ยุบ "พปชร.-เศรษฐกิจใหม่" ปมขับ 21 สส. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 ดอนเมือง เมื่อวันที่ 26 ม.ค.65 เวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมคณะ เดินทางกลับภายหลังเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 ม.ค.65 ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่นายกฯ และคณะเดินทางถึง เจ้าหน้าที่จากสถาบันบำราศนราดูรได้เข้าทำการตรวจเชื้อโควิด - 19 แบบ RT-PCR และต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขในการกำหนดเส้นทางเป็นการเฉพาะหรือซีลรูท โดยต้องแยกตัวเอง เว้นระยะห่าง รวมทั้งหากจำเป็นต้องประชุม ก็จะใช้การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ หรือระบบซูม จากบ้านพักแทน และจะทำการตรวจเชื้อโดยวิธี RT-PCR อีกครั้ง ในวันที่ 30 ม.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ 5 หลังจากเดินทางกลับ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกพรรคเพื่อไทย และอดีตรองนายกฯ ระบุการอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ของพล.อ.ประยุทธ์ต่อจากนี้ไปไม่ใช่เพื่อการแก้ปัญหาประเทศหรือสร้างผลงานใดๆ แต่เป็นการซื้อเวลาเพื่อหาทางลดความเสียหายของพล.อ.ประยุทธ์เองเท่านั้น ว่า นายจาตุรนต์เป็นถึงอดีตรัฐมนตรี และเป็นคนเดือนตุลา แต่นับวันความคิดยิ่งถอยหลังลงคลอง จึงไม่แปลกใจที่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดตระกูลฉายแสงถึงได้สูญพันธุ์ หมดความขลัง แล้วก็คิดว่าคนอื่นจะเหมือนกับตัวเอง อย่างไรก็ตามยืนยันว่าพล.อ.ประยุทธ์มุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ จึงไม่สนใจการตอบโต้ทางการเมืองใดๆ ทำให้บางกลุ่มบางคนได้ใจ ออกมาบิดเบือนข้อเท็จจริงอยู่ทุกวัน ส่วนกรณี นายจาตุรนต์ระบุสิ่งที่ประชาชนจะต้องช่วยกันคิดทำอย่างไรรัฐบาลใหม่จะไม่ใช่พวกที่สืบทอดอำนาจมาด้วยกัน แต่เป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชนและพร้อมจะแก้ปัญหาประเทศตอบสนองความต้องการของประชาชนจริงๆ นั้น นายธนกร กล่าวว่า ยิ่งฟังก็ยิ่งเห็นว่านายจาตุรนต์คงกู่ไม่กลับแล้ว อยากเป็นรัฐบาลมาก แต่คิดทำอะไรไม่เป็น จึงต้องอาศัยความเห็นประชาชนช่วยผลักดันตัวเองให้ได้เป็นรัฐบาล ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี 21 ส.ส. ถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐ เพื่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้สัดส่วนของเสียงข้างมากเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น 21 คน จึงเป็นตัวแปรในการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะมีผลต่อองค์ประชุมมาก ซึ่งส.ส.สภาในขณะนี้มีอยู่ 473 คน กึ่งหนึ่งคือ 238 คน หาก 21 เสียงแปรไปด้านใดด้านหนึ่ง จะเกิดการแปรปรวนอย่างมาก ถ้าเจตนารมณ์ของกลุ่ม 21 ส.ส. ไม่ทำหน้าที่ให้กับเสียงข้างมากที่เป็นอยู่ จะทำให้เสียงข้างมากทำงานไม่ได้ ซึ่งฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยที่จะเป็นองค์ประชุมให้ตั้งแต่แรก ถ้าจะทำหน้าที่ในระบบเสียงข้างมาก ต้องเป็นเสียงข้างมากที่แท้จริง เราไม่สนับสนุนเสียงข้างน้อยเข้ามาปกครองประเทศ เพราะขัดรัฐธรรมนูญและหลักประชาธิปไตย เมื่อถามว่า ถ้ากฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งไม่ได้รับความเห็นชอบ จะเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ด้วยสามัญสำนึกไม่ควรเรียกร้อง แม้กฎหมายนั้นไม่ใช่กฎหมายสำคัญทางการเงินก็ตาม หมายความว่าคุณไม่มีความพร้อมในการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ดังนั้น ควรจะรับผิดชอบต่อประชาชน 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ สามารถลาออกจากตำแหน่ง หรือปลี่ยนคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ 2.ยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ไม่ควรใช้วิธีที่ 3 คือ การรัฐประหาร เพราะตนได้กลิ่นว่าจะใช้แนวทางนี้ ซึ่งเราขอคัดค้านและเรียกร้องผู้ที่มีอำนาจ อย่าได้คิดวิธีการนี้ เราไม่มีอำนาจไปยับยั้ง แต่ประเทศจะล่มจมเสียหายมาก นี่คือสิ่งที่จะทำบาปให้ประเทศ ซึ่งประชาชนต่างเจ็บช้ำมามาก การลุกฮือการต่อต้านเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา "ขณะนี้รัฐบาลถังแตกไม่มีเงิน เพราะไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เลย ต่างประเทศไม่ยอมรับ ไม่มีความเชื่อมั่น แล้วใครจะคบค้าสมาคมกับประเทศไทย ไปซาอุฯโชว์ว่าเป็นผลงาน แต่ความจริงคือซาอุฯต้องการเปิดประเทศ เพราะเขาเห็นช่องทางว่าปิดประเทศแบบนี้เดินต่อไม่ได้ ขนาดซาอุฯยังคิดเป็นคนขี่อูฐยังคิดเป็น แต่คนขี่ควายคิดไม่เป็น ไม่รู้เอาสมองควายมาใส่หรือเปล่า ผมไม่เข้าใจ" หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว เมื่อถามย้ำว่า มีปัจจัยใดที่จะนำสู่รัฐประหาร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า มันเป็นการสืบทอดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะวิธีการอื่นใช้ไม่ได้ ยุบสภาก็ไม่กล้ายุบ เพราะประชาชนจะตัดสิน จะเปลี่ยนครม. ก็อาย ไม่กล้า ประเภทยอมหักไม่ยอมงอ ตัวเองตาย ประเทศชาติตาย เขาทำเช่นนั้น เพราะฉะนั้นช่องทางประนีประนอมเกิดขึ้นยาก ดังนั้นการรัฐประหารคือวิธีการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ส่วนมูลเหตุที่จะใช้อ้างนั้นง่ายสำหรับประเทศชาติบ้านเมืองนี้ เขาสามารถบริหารจัดการและทำให้เกิดสถานการณ์ได้ตลอดเวลา เพราะทำมาตลอด นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ลงพื้นที่ช่วย นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมส.ส.หลักสี่ กทม.เขต 9 หาเสียง พื้นที่ตลาดประชานิเวศน์ 1 เมื่อวานนี้ (25 ม.ค.) ว่า เมื่อวานนี้ได้เจอกับนายอนุชาและเห็นว่ามีคนมาช่วยหาเสียงกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งมองแล้วเกิน 20 คน จึงเกรงว่าจะผิดกฎหมายเลือกตั้ง ตนจึงได้บอกนายอนุชาและนายสมศักดิ์ว่าควรจะไปลงชื่อเป็นผู้ช่วยหาเสียงด้วย เพราะเกรงว่าหากไม่ใช่ผู้ช่วยหาเสียงจะมีความผิดตามกฎหมาย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเรื่องรายจ่ายในการช่วยหาเสียงเลือกตั้งที่ระบุว่าต้องไม่เกิน 1,500,000 บาท เพราะหากจะมาช่วยหาเสียงและแจกโบรชัวร์จะต้องเป็นผู้ช่วยหาเสียงเท่านั้น เพราะกฎหมายกำหนดไว้ว่าให้แต่ละพรรคการเมืองหาเสียงอย่างเท่าเทียมกันใช้เงินไม่เกินพรรคละ 1,500,000 บาทต่อ 1 เขตการเลือกตั้ง ฉะนั้นจึงมีการจำกัดไม่ให้มีผู้ช่วยหาเสียงแต่ละพรรคเกิน 20 คน และเปลี่ยนได้ไม่เกิน 3 ครั้ง นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า ไม่รู้ว่าวันที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐลงพื้นที่ช่วยหาเสียงได้แจ้งเป็นผู้ช่วยหาเสียงและแจกโบรชัวร์ให้กับประชาชนหรือไม่ แต่เห็นชูมือสัญลักษณ์เบอร์ 7 อยู่ หากแจกโบรชัวร์ต้องลงเป็นผู้ช่วยหาเสียง จึงขอเตือนไปยังพล.อ.ประวิตรและรัฐมนตรีทั้ง 2 คน เพราะหากแจ้งชื่อเป็นผู้ช่วยแล้วต้องรับเบี้ยเป็นผู้ช่วยหาเสียงด้วยวันละ 315 บาท ถ้าไม่รับก็ถือว่าผิดกฎหมาย และหากรับก็ผิดกฎหมายเช่นกัน ฉะนั้นจะเดินหน้าถอยหลังก็ขอให้ระมัดระวัง เพราะเห็นว่ามีทีมที่ปรึกษาด้านกฎหมายดีก็น่าจะรอบคอบนิดหนึ่ง ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เดินทางมายื่นหนังสือขอให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค พลังประชารัฐ และพรรคเศรษฐกิจไทย นายเอกชัย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ สั่งการให้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ โดยที่ประชุมมีมติให้ขับส.ส.ของพรรคจำนวน 21 คน ออกจากพรรค ต่อมา นายสมศักดิ์ พันธ์เกษม อดีตส.ส.พลังประชารัฐ ซึ่งถูกขับออกจากพรรค ยื่นหนังสือต่อพรรคพลังประชารัฐ เพื่อขอให้ทบทวนมติการขับตนเองออกจากการเป็นสมาชิก หนังสือนี้หน้า 7 ระบุ "เมื่อหัวหน้าพรรค (ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เข้ามาในห้องประชุมได้แจ้งว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะออกจากพรรค โดยจะมีการย้ายไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย และจะให้ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นหัวหน้าพรรค ให้ นายอภิชัย เตซะอุบล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเลขาชิการพรรค และให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นที่ปรึกษาพรรค โดยจะให้ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐที่ป็นกลุ่มของร.อ.ธรรมนัสที่รวมตัวกันอยู่ในห้องประชุมนั้นย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย พร้อมกับร.อ.ธรรมนัสด้วย สื่อมวลชนยังนำเสนอคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตรกรณีการทบทวนมติการขับ 21 ส.ส. ออกจากพรรค เพื่อย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทยว่า "ไม่เห็นจะต้องรับมือเลย ก็พรรคผมทั้งนั้น" ทั้งนี้ พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28 กำหนดห้ามมีให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม