เมื่อวันที่ 22 ม.ค.65 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้มอบนโยบายแผนปฏิบัติการป้องกันปราบปราม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้กับหน่วยงานในสังกัดนั้น พล.ต.ต.มานะ กลีบสัตบุศย์ ผบก.ปทส. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.อริยพล สินสอน รอง ผบก.ปทส. ซึ่งรับผิดชอบงานป้องกันปราบปราม ทำการสืบสวนเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผกก.4 บก.ปทส. พร้อมกำลังตำรวจ กก.4 บก.ปทส. ออกทำการสืบสวนจับกุม ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 65 พ.ต.อ.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผกก.4 บก.ปทส. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปทส. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และความมั่นคงอำเภอพบพระ จังหวัดตาก นำโดยนายสมพงษ์ ฟุ้งทวีวงศ์ นายอำเภอพบพระ นายธนวัฒน์ ชื่นจิต หัวหน้าสายตรวจปราบปรามสายที่ 1 สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 14 (ตาก), นายสุวิทย์ บุญเลิศรักษ์ พนักงานพิทักษ์ป่า อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ นายฉันทวัฒน์ อิ่มเนย หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ตก.6 (ร่มเกล้า) กรมป่าไม้, ร.ต.ท.วัฒนา ภิระบรรณ์ หัวหน้าชุด ตชด.346, ร.อ.ธนาวิทย์ ติ๊บใจ นายทหารฝ่ายยุทธการ บก.ควบคุม ฉก.ร.14 ร.ต.อ.ปิสัน เลิศเกษม รอง สวป. สภ.พบพระ รวมกำลังกว่า 80 นาย สนธิกำลังเข้าตัดทำลายไร่ฝิ่นในป่าลึก ในพื้นที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก หลังพบว่ามีผู้ลักลอบปลูกฝิ่นแทรกอยู่ในป่า เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ และหลบเลี่ยงการตรวจสอบทางอากาศเนื่องจากอยู่ติดตะเข็บชายแดน สำหรับพื้นที่ที่มีการลักลอบปลูกฝิ่นนั้น เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศไทย และเมียนมา อยู่ในพื้นที่ป่าเขาสูงชัน เจ้าหน้าที่ต้องเดินเท้าลัดเลาะไปตามสันเขา เพื่อเข้าถึงพื้นที่ แต่ปัญหาที่พบ คือ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเดินทางไปถึงพื้นที่ จะมีคนที่ทำหน้าที่ดูต้นทาง ส่งสัญญาณแจ้งให้คนงานที่กำลังกรีดฝิ่น อาศัยความชำนาญในพื้นที่หลบหนีการจับกุมไปได้ จากการตรวจสอบไร่ฝิ่น พบว่ามีต้นฝิ่นสูงประมาณ 100-150 เซนติเมตร โดยพบร่องรอยการกรีด และเก็บขี้ฝิ่น (ยาง) ไปแล้วก่อนหน้านี้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เร่งลงมือตัดตอนทำลายไร่ฝิ่นทั้งหมด ตรวจยึดพื้นที่ป่าเนื้อที่เนื้อที่ 1-0-7 ไร่ พร้อมด้วยของกลางเพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.พบพระ เพื่อให้ดำเนินตามกฏหมาย และจะได้ทำการสืบสวนจับกุมตัวผู้กระทำความผิดต่อไป จากนั้นจึงถอนกำลังออกจากพื้นที่ก่อนพลบค่ำเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้การตัดตอนทำลายไร่ฝิ่นในพื้นที่ จังหวัดตาก นั้นถือเป็นนโยบายที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในการสกัดกั้นและตัดตอนการปลูกพืชเสพติดในพื้นที่ เพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด อีกทางหนึ่งซึ่งที่ผ่านมายังคงพบการลักลอบปลูกกันอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่มีอุณหภูมิพอเหมาะแก่การเพาะปลูก โดยกลุ่มที่ลักลอบปลูก มักจะย้ายพื้นที่การปลูกเพื่อหลบหนีการจับกุมไปเรื่อยๆ ซึ่งยากต่อการเข้าถึง จึงขอฝากประชาสัมพันธ์เตือนถึงพี่น้องประชาชนว่า ฝิ่น (Opium) ถือเป็นยาเสพติดถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพราะมีฤทธิ์เข้าไปกดระบบประสาท ส่งผลให้ผู้เสพมีอาการเสพติดทั้งทางร่างกาย จิตใจ และยังมีภาวะขาดยาทางร่างกายและทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุดและยังเป็นสารตั้งต้นของยาเสพติดอีกหลายประเภท ผลเสียของฝิ่นไม่เพียงส่งผลต่ออนาคตของตัวผู้เสพเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้อื่นในสังคม เด็ก และเยาวชน อาจได้รับผลกระทบจากอาการมึนเมาจากการเสพยาเสพติด และเป็นสิ่งที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ดังนั้น วิธีที่จะหยุดวงจรยาเสพติดลงได้ ก็คือ พี่น้องประชาชนต้องไม่เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการนี้ และสิ่งนั้นก็คือ “หยุดปลูกฝิ่น” เพื่ออนาคตของลูกหลานของท่าน อีกทั้งยังเป็นการลดการบุกรุกป่า เพื่อสร้างความสมดุลในธรรมชาติต่อไป ทั้งนี้หากพบบุคคลที่มีพฤติกรรมการการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถแจ้งเบาะแสมาที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม,สายด่วน 1136