คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ขณะนี้การบริหารประเทศของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2021 ได้ครบหนึ่งปีแล้ว โดยเขาได้สร้างผลงานต่างๆให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ อีกทั้งยังนำความน่าเชื่อถือให้กลับคืนมาสู่ทำเนียบขาวอันทรงเกียรติ และถึงแม้ว่าพรรคเดโมแครตจะครองเสียงข้างมากน้อยนิดแค่เพียง 9 ที่นั่งในสภาผู้แทนฯคือพรรคเดโมแครตมีสมาชิกผู้แทนฯเหนือพรรครีพับลิกัน 221:212 อีกสองที่นั่งยังว่างอยู่ แถมเสียงในวุฒิสภายังมีเท่ากันที่ 50:50 ก็ตาม แต่ก็ยังมีข้อได้เปรียบอีกหนึ่งเสียงของ “รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส” ที่เข้ามาตัดสินชี้ขาดจนสามารถผ่านเป็นกฎหมายได้ จะเห็นได้จากงบประมาณเมื่อเดือนมีนาคม 2021 ที่มียอดวงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 และกฎหมายโครงสร้างขั้นพื้นฐาน 1.2 ล้านล้านเหรียญ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 ซึ่งทั้งสองร่างกฎหมายนี้ก็สามารถผ่านไปได้ด้วยอย่างหวุดหวิด!!! ทว่าในช่วงปีนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนยังไม่สามารถผ่านโครงการใหญ่มหึมาด้านการพื้นฟูเศรษฐกิจ 1.75 ล้านล้านเหรียญได้เลย สืบเนื่องมาจาก “วุฒิสมาชิกโจ มันชิน” สังกัดพรรคเดโมแครต จากรัฐเวสท์เวอร์จิเนีย ที่ถึงแม้ว่าจะสังกัดอยู่ในค่ายพรรคเดียวกันก็ตามที แต่กลับแตกแถวขัดขวางทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง รวมไปถึงนโยบายปฏิรูปอิมมิเกรชั่นก็พบกับความล้มเหลวไม่ผ่านอีกด้วยเช่นกัน เพราะถูกต่อต้านสกัดกั้นอย่างหนักจากนักการเมืองพรรครีพับลิกัน กรณีถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานที่สร้างความโกลาหลวุ่นวาย เมื่อเดือนสิงหาคม 2021 และปัญหาโรคโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่มียอดของผู้ติดเชื้อและยอดของผู้เสียชีวิตพุ่งสูงมากขึ้น แถมด้วยปัญหาเงินเฟ้อตามมาติดๆ ทั้งๆที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สร้างผลงานทำให้จำนวนของคนว่างงานลดน้อยลงเหลือแค่เพียง 3.9% จากเคยมีอยู่ 6.7% ในสมัยอดีตครั้งที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทิ้งภาระกองสุมท่วมหัวเอาไว้ให้แก้ไข และจากการที่มีปัญหาทยอยเข้ามาเรื่อยๆมีผลทำให้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดนจากที่เคยมีสูงถึง 54% ขณะนี้ค่อยๆลดดิ่งลงเหลือเพียง 42.5% (จากสำนักโพลของ FiveThirtyEight เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว) ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังเผชิญกับมรสุมที่ถาโถมรุมเร้าหลายๆด้านอย่างที่คาดการณ์ไม่ถึงนั้น ปรากฏว่าภายในพรรคเดโมแครตเกิดมีคลื่นใต้น้ำปรากฏขึ้น ที่มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่า “พรรคเดโมแครตต้องการจะเปลี่ยนผู้ลงสมัครเลือกตั้งในสมัยหน้าจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไปเป็น “ฮิลลารี คลินตัน” ที่ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นการหวนทวนกลับมาแข่งขันกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อีกครั้งหนึ่งก็เป็นไปได้!!! ทั้งนี้หากวิเคราะห์ถึงแนวโน้มการเลือกตั้งกลางสมัยที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2022 นี้แล้ว สมาชิกผู้แทนฯทั้ง 435 ที่นั่งจะต้องลงเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด เนื่องจากพวกเขาสามารถจะดำรงอยู่ในวาระเพียงแค่สองปีเท่านั้น และดูเหมือนว่าเสียงข้างมากของสภาผู้แทนฯในปี 2023 อาจจะมีการเปลี่ยนขั้วจากพรรคเดโมแครตไปเป็นของพรรครีพับลิกันก็เป็นได้ และหากเกิดขึ้นจริงก็เท่ากับว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะบริหารประเทศอย่างลำบากเลือดตาแทบกระเด็นกลายเป็นเป็ดง่อยไม่สามารถขยับตัวทำอะไรได้เลย แต่อย่างไรก็ตามในวุฒิสภาพรรคเดโมแครตก็อาจจะโชคดีที่มีโอกาสจะได้ครองเสียงข้างมาก เพราะพรรคเดโมแครตจะลงแข่งขันเพียง 14 ที่นั่งส่วนพรรครีพับลิกันจะลงแข่งขันถึง 20 ที่นั่ง โดยตำแหน่งวุฒิสามาชิกของสหรัฐฯจะอยู่ในวาระทั้งหมดถึงหกปี ทั้งนี้ยังมีการถกเถียงเกิดขึ้นภายในพรรคเดโมแครตในหัวข้อที่ว่า หากประธานาธิบดีโจ ไบเดนต้องการจะลงแข่งขันอีกในปี 2024 ซึ่งตอนนั้นเขาจะมีอายุ 82 ปี สมาชิกภายในพรรคต่างคิดกันว่าอาจจะแก่มากจนเกินแกง!!! ส่วนรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยตั้งความหวังตั้งใจจะให้เป็นทายาททางการเมือง แต่กลับปรากฏว่าขณะนี้คะแนนนิยมของเธอกลับตกต่ำลงยิ่งกว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนเสียอีก จึงมีผลทำให้เกิดช่องว่างเป็นสุญญากาศผุดงัดดันเอาฮิลลารี คลินตัน ขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำของพรรคเดโมแครตที่กำลังว่างลง หากจะพูดถึงคุณสมบัติด้านบวกของฮิลลารี คลินตันแล้วนั้น ต้องยอมรับว่า เธอก็มีมิใช่น้อย อาทิ มีอายุน้อยกว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนเคยเป็นอดีตสตรีหมายเลขหนึ่ง เคยเป็นวุฒิสมาชิกหนึ่งสมัยจากรัฐนิวยอร์ก เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามา และยังเคยเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 เป็นนักโต้วาทีปากกล้าและนักรณรงค์หาเสียงตัวยง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าฮิลลารี คลินตัน จะพ่ายแพ้พลาดโอกาสจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ก็ตาม แต่เธอก็ยังคลุกคลีกับแวดวงการเมืองอย่างใกล้ชิดตลอดเรื่อยมา และยังคงไว้ซึ่งแบรนด์เนมหญิงเหล็กสู้ไม่ถอย โดยเธอได้กล่าวเอาไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่า หากประธานาธิบดีทรัมป์จะมีโอกาสได้รับเลือกอีกครั้งหนึ่งในปีค.ศ. 2024 ก็คงจะนำความหายนะต่อระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯอย่างมากมายมหาศาล และเธอยังเสริมเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า “การเลือกตั้งเมื่อปี 2016 มีนัยสำคัญที่ไม่โปร่งใสในการนับคะแนน Electoral Votes โดยเธอบอกว่า “ครั้งนั้นฉันได้รับคะแนนความนิยม เหนือกว่าโดนัลด์ ทรัมป์เกือบสามล้านคะแนนด้วยซ้ำไป” โดย “ดิ๊ก มอร์ริส” อดีตที่ปรึกษาของประธานาธิบดีบิล คลินตัน ได้ออกมาแถลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2022ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้ว่า น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะมีการหวนกลับมาแข่งขันกันใหม่ระหว่าง ฮิลลารี คลินตัน กับ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี ค.ศ. 2024 และเขายังได้กล่าวต่อไปอีกว่า ในอีกสามปีข้างหน้าฮิลลารีในวัย 77 ปี จะเป็นนักวางกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างที่ใครก็ไม่สามารถทำได้!!! จากบทความของ “ดัก เชิน” อดีตที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งของประธานาธิบดีบิล คลินตัน ที่เขาผู้นี้มีประสบการณ์ในการหยั่งเสียงมามากกว่าสามสิบปี ได้ร่วมจับมือกับ “แอนดรูว์ สไตน์”นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล สังกัดค่ายพรรคเดโมแครต ที่ทั้งคู่ได้เขียนลงในหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัลด์ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2022 นี้อย่างน่าฟังว่า “ฮิลลารี คลินตัน อาจจะเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นตัวแทนของพรรคโมแครต ในปี 2024 หากว่า พรรคเดโมแครต พ่ายแพ้การเลือกตั้งกลางสมัยในอีกสิบเดือนข้างหน้า” และหากฮิลลารี คลินตัน ได้รับเลือกในปี 2024 เธอจะมีอายุ 78 ปี ตอนเข้าพิธีสาบานตน ทั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ก็มิได้นิ่งเฉย เพราะเขากำลังออกกลยุทธ์วางแผนว่า พรรครีพับลิกันจะเลือกใครลงเลือกตั้งกลางสมัยในอีกสิบเดือนข้างหน้า โดยเขาแสดงเจตจำนงวางแผนจะหาเงินบริจาคมาทุ่มในการเลือกตั้งครั้งนี้ อีกทั้งเขายังแสดงความประสงค์ว่าหากพรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งกลางสมัย เขาจะมอบให้ “เควิน แม็คคาธี”ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนฯเข้ารับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรแทน ส.ส.แนนซี เพโลซีคนปัจจุบัน แถมเขาต้องการที่จะแก้แค้นหาทางกำจัด“วุฒิสมาชิกมิชท์ แม็คคอนเนลล์” ให้กระเด็นจากตำแหน่งเพราะดันออกมากล่าวประณามเขาว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องรับผิดชอบในการยุยงให้เกิดการจลาจลเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021” กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อดูจากแนวโน้มที่เกิดขึ้นแล้วโอกาสที่พรรคเดโมแครตอาจจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งกลางสมัยในสภาผู้แทนราษฎรมีค่อนข้างสูงเลยทีเดียว และหากเกิดขึ้นจริงๆ ก็ย่อมจะสร้างอุปสรรคต่อการบริหารประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อย่างใหญ่หลวง และอาจจะเป็นผลทำให้ฮิลลารี คลินตัน ที่กำลังสบช่องรอจังหวะดีๆเข้าเสียบเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต รีเทิร์นกลับมาฟื้นคืนชีพในการลงแข่งขันประธานาธิบดีปีค.ศ. 2024 ก็เป็นไปได้ละครับ