ตามที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ระหว่างวันที่ 14-26 กุมภาพันธ์ 2565 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา นั้น เนื่องด้วยการแข่งขันรายการดังกล่าว ฝ่ายจัดการแข่งขันได้ประกาศโปรแกรมภายหลัง ซึ่งทับซ้อนกับการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพ ภายในประเทศ ทั้งในระดับไทยลีก 1-3 ที่ทางสมาคมฯ จัดวางไว้ก่อน เพื่อให้ทีมชาติไทยมีเวลาเตรียมทีม สำหรับเข้าร่วมแข่งขัน ฟุตบอลซีเกมส์ 2021, ฟุตบอล AFC U-23 Asian Cup 2022 ที่ประเทศอุซเบกิสถาน และ ฟุตบอล Asian Games 2022 ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อีกทั้ง ฟุตบอลรายการแข่งขันดังกล่าว ของ สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน ไม่ตรงกับช่วงฟีฟ่า เดย์ หลังจากที่ได้มีการประชุมกันของทีมงานสตาฟฟ์โค้ชทีมเยาวชน ทางสมาคมฯ จึงตัดสินใจส่งทีมชาติไทย U19 ภายใต้การคุมทีมของ ซัลบาดอร์ บาเลโร การ์เซีย เข้าร่วมการแข่งขันรายการดังกล่าว และมองว่าเป็นโอกาสดีในการยกระดับเยาวชน ที่ไม่มีโปรแกรมการแข่งขัน ในระดับนานาชาติช่วงสองปีที่ผ่านมา เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 นอกจากนี้ ทีมงานสตาฟฟ์โค้ชทีมเยาวชน ยังมองว่าการใช้ผู้เล่นเยาวชนจะช่วยให้มีการเตรียมพร้อมสำหรับทัวร์นาเมนต์สำคัญ อาทิ การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี รวมถึง การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ที่จะส่งผลไปถึงรอบสุดท้าย และ การแข่งขันฟุตบอลเยาวชนโลก รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี "ซัลบาดอร์ บาเลโร การ์เซีย" กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่ให้ความสำคัญกับนักเตะเยาวชน และเปิดโอกาสให้ทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ครั้งนี้ ซึ่งมองว่านี่เป็นโอกาสดี สำหรับการพัฒนานักเตะรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรายการต่อไป อย่างชิงแชมป์อาเซียน รวมถึง ศึกชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี รอบคัดเลือก ที่จะไปต่อถึงฟุตบอลเยาวชนโลก "สำหรับแผนงานนี้เราได้ประชุมร่วมกับหลายฝ่าย และมองถึงอนาคต เราต้องกล้าที่จะให้นักเตะที่อายุน้อยได้มีโอกาส สัมผัสเกมระดับนานาชาติ การได้เจอกับ นักฟุตบอลต่างชาติที่มีอายุมากกว่า เรียนรู้วิธีการเล่นเพื่อให้ตัวเขาได้มีโอกาสพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าผลการแข่งขันจะสมหวังหรือไม่ก็ตาม" ซัลบาดอร์ กล่าวว่า แน่นอนว่าเป้าหมายของทัวร์นาเมนต์นี้ เราจะโฟกัสไปที่ฟอร์มการเล่นเป็นอันดับแรก ซึ่งแน่นอนว่านักเตะทุกคนมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานที่ดีในทุกนัดที่ลงสนาม เราจะพยายามทำให้ดีที่สุด ภายใต้ความกดดัน แต่เมื่อเรามองว่านี่คือโอกาสสำหรับนักกีฬาที่จะได้พัฒนา ซึ่งทีมชุดนี้ เล่นร่วมกันมาตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี รายการอู่ฮั่น คัพ ประเทศจีน เบื้องต้นคือเราได้แจ้งสโมสรเพื่อขอเรียกนักกีฬาเข้ามาเก็บตัวก่อนการแข่งขัน 1 สัปดาห์ ซึ่งจะมีนักเตะอายุเกิน 19 ปี ประมาณ 2-3 คน จากชุดชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก U23 ที่มองโกเลีย อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้เราได้มีการเก็บตัวและอุ่นเครื่องมาแล้วในช่วงเดือนธันวาคม เราทำได้ดีในระดับหนึ่ง ถือเป็นความต่อเนื่องในการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์ "ผมเองทำงานร่วมกับทีม U23 มาอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ก็มีนักเตะที่เราได้ให้ข้อมูล และมีโอกาสได้ลงเล่นที่ มองโกเลีย ในศึกชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก อย่าง ชณภัช บัวพันธ์ รวมถึง สิทธา บุญหล้า เป็นต้น หวังว่าเราจะช่วยพัฒนาพวกเขา เพื่อให้มีโอกาสเรื่องการเล่นข้ามรุ่นในรอบสุดท้ายของศึกชิงแชมป์เอเชีย U23 ที่อุซเบกิสถาน ได้" เรื่องการข้ามรุ่นและกังวลว่านักเตะจะเจ็บ ผมเชื่อว่าสิ่งสำคัญสำหรับนักเตะคือการเตรียมตัวให้พร้อม และเชื่อว่านักเตะรุ่นนี้หลายคนพร้อมเล่น รวมถึงหลายคนต่างก็มีประสบการณ์เจอกับนักเตะที่อายุมากกว่ามาแล้ว ในการเล่นในไทยลีก 2 หรือ ไทยลีก 3 แน่นอนว่า มันมีความเสี่ยง แต่เราก็จะพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น "การมีเวทีให้กับเยาวชน ถือเป็นสิ่งสำคัญในเรื่องของการพัฒนา การมีเป้าหมายระยะสั้น เป็นเรื่องดี แต่เป้าหมายระยะยาวก็เป็นสิ่งสำคัญ เราต้องการพัฒนานักเตะเหล่านี้เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายในระยะยาวให้ได้ ยกตัวอย่าง กาตาร์ และ ญี่ปุ่น ที่พวกเขามักจะส่งทีมระดับเยาวชนเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ จนมีประสบการณ์ และเน้นผลการแข่งขันในรายการสำคัญๆ เช่น โอลิมปิก หรือ ฟุตบอลโลก" สำหรับ ทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี จะเรียกนักเตะมาเก็บตัวที่ พัฒนา รีสอร์ท สปอร์ต จ.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 7-11 กุมภาพันธ์ 2565 ก่อนที่จะมีการคัดเลือกนักกีฬาให้เหลือ 23 ราย ก่อนเดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อทำการแข่งขันฟุตบอล "AFF U-23 Championship 2022" ณ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 12-27 กุมภาพันธ์ 2565 ต่อไป