ศาลอาญา พิพากษาจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา “ แทน เทือกสุบรรณ - บรรเจิด เหล่าปิยะสกุล อดีตเลขาฯ เทพเทือก ” บุกรุกที่เขาแพงปี 43-44 กว่า 31 ไร่ ขณะที่ “ พรชัย ฟ้าทวีพร – โกเข็ก สามารถ เรืองศรี ” กลุ่มนายหน้าโดนคุก 5 ปี ศาลชี้ ป่าทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ การเปลี่ยนแปลงเป็นประโยชน์ตัวเอง เป็นเรื่องร้ายแรง ไม่สมควรรอการลงโทษ ขณะที่ทนายยื่นหอบบัญชีธนาคาร – น.ส.3 ก.ประกัน ศาลอนุญาตปล่อยตัว ตีราคาประกันคนละ 500,000 – 800,000 บาท แต่ห้ามออกนอกประเทศเว้นได้รับอนุญาต วันที่ 21 ก.ย.59 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีบุกรุกที่เขาแพง เกาะสมุย หมายเลขคดีดำ อ.3534/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพรชัย ฟ้าทวีพร อายุ 51 ปี ผจก.ห้างหุ้นส่วนเรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น , นายสามารถ หรือ โกเข็ก เรืองศรี อายุ 59 ปี หุ้นส่วน หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น และนายหน้าขายที่ดิน , นายแทน เทือกสุบรรณ อายุ 35 ปี บุตรชายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฏร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และนายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล อายุ 61 ปี อดีตเลขานุการส่วนตัวของนายสุเทพ อายุ เป็นจำเลยที่ 1- 4 ในความผิดร่วมฐาน ร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่า หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง หรือเผาป่าในที่ดินของรัฐโดยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 , 108 ทวิ และ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2518 มาตรา 22 โดยอัยการ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 23 ก.ย.56 บรรยายพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 27 ก.ย.43 – 5 ต.ค.44 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ่วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน 97 ตารางวา โดยจำเลยที่ 3-4 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ่วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 14 ไร่ ด้วยการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ชั้นพิจารณาจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ศาลพิเคราะห์ พยานหลักฐานสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบรับฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดตามฟ้อง จึงพิพากษาว่า นายพงษ์ชัย และนายสามารถ หรือโกข็ก จำเลยที่ 1-2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ,72 ตรี วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 5ปี ส่วนนายแทน และนายบรรเจิด จำเลยที่ 3-4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1) , 108 ทวิ วรรค1 และ พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง , 72 ตรี วรรคหนึ่ง โดยการกระทำของจำเลยเป็กรรมเดียวแต่ผิดกฏหมายหลายบทให้ลงโทษความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุกคนละ 3ปี ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์เห็นว่า ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ และเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของชาติ ควรที่ประชาชนจะต้องร่วมกันหวงแหน บำรุงรักษาให้อุดมสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ไม่ให้เป็นของส่วนตัวแก่ผู้ใด การกระทำของจำเลยทั้งสี่ มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมของดิน น้ำ อากาศ และป่าไม้ทั้งโดยตรงและทางอ้อม อันเป็นต้นเหตุของความแห้งแล้ง และภัยพิบัติจากน้ำป่าไหลหลาก สภาพความผิดจึงเป็นเรื่องร้ายแรง จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ นอกจากนี้ยังให้จำเลยทั้งสี่ คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสี่ออกจากที่ดินและป่าไม้บริเวรที่เกิดเหตุ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ภายหลัง ทนายความ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ อาทิ สมุดเงินฝากธนาคาร หนังสือ น.ส.3 ก. เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ต่อสู้คดี โดยเมื่อเวลา 16.15 น. ศาลพิจารณาคำร้องและหลักทรัพย์แล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งสี่ โดยตีราคาประกัน นายพงษ์ชัย และนายสามารถ หรือโกข็ก จำเลยที่ 1-2 คนละ 800,000 บาท และนายแทน และนายบรรเจิด จำเลยที่ 3-4 คนละ 500,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยทั้งสี่เดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล