"แรมโบ้อีสาน" เปิดศูนย์ร้องทุกข์ ฯ ชูแคมเปญลงชื่อ 1ล้าน ไล่ "แอมเนสตี้" พ้นไทย ลั่นขอเดิมพันด้วยชีวิต ไม่ยึดติดตำแหน่ง ด้าน บิ๊กตู่ ขออย่าขยายความขัดแย้ง ปมปลุกไล่ แอมเนสตี้ ส่วน "บิ๊กป้อม" ไม่ตอบความชัดเจน ปม "บิ๊กตู่" สังกัดพปชร.ขณะที่ กกต.เตือนระวัง ทำผิดกฎหมาย โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง อบต.28 พ.ย.นี้ ด้าน อัยการยื่นฟ้อง อานนท์-พวก ผิดม.112 ปราศรัยร เมื่อวันที่ 25 พ.ย.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนพดล พรหมภาสิต กลุ่มพสกนิกรปกป้องสถาบันและเครือข่ายปกป้องสถาบัน 6 องค์กร ได้มายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล ขอให้รัฐบาลดำเนินการตรวจสอบการทำงานขององค์กร แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย (Amnesty International Thailand ) มีพฤติกรรมการกระทำเข้าข่ายกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากปรากฏเหตุการณ์ว่า แอมเนสตี้ไทยได้ประกาศแคมเปญเขียนจดหมายล้านฉบับถึงทั่วโลก จี้ทางการไทยให้หยุดดำเนินคดีกับ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง ถือว่าองค์กรดังกล่าวเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ จงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศไทย เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2564 นั้น ผูกพันทุกองค์กร ซึ่งการกระทำขององค์กรดังกล่าวอาจถือได้ว่า อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลกระทำการจาบจ้วงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้หากพบข้อมูลหลักฐานอันเชื่อได้ว่าองค์กรดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายแทรกแซงกิจการความมั่นคงของประเทศ ขอให้มีมาตรการทางกฎหมายจัดการกับองค์กรนี้ให้พ้นออกไปจากประเทศไทย นายเสกสกล กล่าวว่า ตนได้ประกาศเปิดแคมเปญลงชื่อขับไล่แอมเนสตี้ 1 ล้านชื่อ ขณะนี้มีประชาชนมาลงรายชื่อแล้วมากกว่า 5 แสนรายชื่อ และมีเครือข่ายของภาคประชาชนที่ออกมาปกป้องสถาบัน ทั่วประเทศได้ออกมาเคลื่อนไหวตามแต่ละจังหวัด ทั้งนี้ตนเองจะเดินสายไปรับรายชื่อ ในทุกภาคทุกจังหวัด พร้อมกับล่ารายชื่อประชาชนขับไล่ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เห็นว่าประชาชนคนไทยไม่เอาองค์กรที่มาชังชาติทำลายความสงบสุข ทำลายบ้านเมือง และคิดร้ายต่อสถาบัน ปล่อยเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด ขณะเดียวกันตนจะดำเนินการ 2 แนวทางควบคู่กันไปคือดำเนินการตามกฎหมาย เพราะหากไม่รักษากฎหมายอยู่ภายใต้กฎหมายของไทย จะต้องเอาเข้าคุกเข้าตาราง หรือไล่ออกนอกประเทศให้ได้ รวมถึงจะต้องกดดันด้วยพลังคนไทยที่จงรักภักดี ให้ได้มากกว่า 1 ล้านรายชื่อ หรือหลายล้านคนให้ได้ นายเสกสกลยังระบุว่าตนเองจะยื่นหนังสือให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้ตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมการเงินขององค์กรนี้ว่าใช้เงินจากต่างประเทศจ้างคนไทยที่หัวชังชาติ ไม่รักบ้านเมือง รักแผ่นดินเกิดให้มาทำลายประเทศทำลายสถาบัน โดยตนเองจะส่งให้กับฝ่ายกฎหมายของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้การที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ออกมาเคลื่อนไหว สร้างความแตกแยกให้กับคนไทย และละเมิดจาบจ้วงสถาบัน ถือว่าเป็นองค์กรที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้จดทะเบียน ดังนั้นขอเรียกร้องให้กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นนายทะเบียน เพิกถอนองค์กรนี้ไปด้วย เพราะทำผิดเงื่อนไขระเบียบข้อกฎหมายชัดเจน "ผมขอสัญญากับพี่น้องคนไทยที่รักและปกป้องสถาบันว่า จะยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างประชาชนที่รักชาติ รักบ้านเมือง รักสถาบัน ผมขอเดิมพันด้วยชีวิตและไม่ยึดติดกับตำแหน่ง ถึงแม้ว่าขณะนี้จะดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี แต่ตนเองมีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งหากไล่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ออกไปจากประเทศไทยไม่ได้ ผมพร้อมที่จะลาออกจากตำแหน่ง เพื่อไปเคลื่อนไหวร่วมกับพี่น้องประชาชนผู้รักสถาบัน ขับไล่องค์กรนอกรีตนี้ออกไปพ้นแผ่นดินไทยให้จงได้ ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ เที่ยวชุมชน ยลวิถี ถึงกรณีกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เคลื่อนไหวล่ารายชื่อและกดดันขับไล่แอมเนสตี้ อินเตอร์ เนชั่นแนล ประเทศไทยจะลุกลามขัดแย้งบานปลายหรือไม่ว่า "ใครขัดแย้ง ถ้าขัดแย้งก็อย่าเสนอให้ขัดแย้งสิ ความคิดของคน" ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงกรณีที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้มาสอบถามจากพล.อ.ประวิตรเอง ถึงความชัดเจนเรื่องการสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ โดยเดินออกจากห้องประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงครั้งที่ 28 ไปทันที โดยไม่ได้กล่าวตอบใดๆ ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทั่วประเทศที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2564 เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นไปตามกฎหมาย จึงกำหนด ข้อพึงระวังสิ่งที่เคยทำได้ หลัง 18.00 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน 2564 ทำไม่ได้ 1. ห้ามผู้ใดขาย จำหน่าย จ่ายแจก หรือจัดเลี้ยงสุราทุกชนิดในเขตเลือกตั้ง ระหว่างเวลา 18.00 น.ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวัน (27 พฤศจิกายน 2564) จนถึงเวลา 18.00 น. ของวันเลือกตั้ง (28 พฤศจิกายน 2564) 2. ห้ามผู้ใดหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการใด รวมถึงวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครนับตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวัน (27 พฤศจิกายน 2564) จนสิ้นสุดวันเลือกตั้ง (24.00 น. ของวันที่ 28 พฤศจิกายน 2564) ส่วนข้อพึงระวังในวันเลือกตั้ง คือ 1. ห้ามผู้ใดซึ่งรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งพยายามออกเสียงลงคะแนนหรือออกเสียงลงคะแนน 2. ห้ามผู้ใดจงใจกระทำด้วยประการใดๆ ให้บัตรเลือกตั้งชำรุด หรือเสียหาย หรือให้เป็นบัตรเสียหรือกระทำด้วยประการใด ๆ แก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรที่ใช้ได้ 3. ห้ามผู้ใดใช้บัตรอื่นที่มิใช่บัตรเลือกตั้งที่ได้รับจากกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเพื่อการออกเสียงลงคะแนน 4. ห้ามผู้ใดนำบัตรเลือกตั้งออกไปจากที่เลือกตั้ง เว้นแต่เป็นการกระทำตามหน้าที่และอำนาจ 5. ห้ามผู้ใดใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ใดถ่ายภาพบัตรเลือกตั้งเพื่อให้เห็นเครื่องหมายลงคะแนน จึงขอย้ำเตือนให้ระมัดระวังอย่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และหากพบเห็นการทุจริตเลือกตั้ง สามารถแจ้งเบาะแสได้ทางแอปพลิเคชันตาสับปะรด หรือแจ้งเหตุได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2141 8860 ,0 2141 8579 และ 0 2141 8859 หรือศูนย์บริการสายด่วนเลือกตั้ง 1444 วันเดียวกัน ที่สำนักงานอัยการสูงสุด พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาได้นัดฟังคำสั่งในคดีที่พนักงานสอบสวน สน.บางเขนได้นำตัวพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายอานนท์ อำภา, นายพริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือเพนกวิน ,นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือไบร์ท ,นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข, น.ส.พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ, น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา ,นายพรหมศร วีระธรรมจา เเละน.ส.อินทิรา เจริญปุระ หรือ ทรายในความผิดฐาน หมิ่นสถาบันเบื้องสูง มาตรา 112, มาตรา 116, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองและข้อหาอื่นฯ ต่อมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงรายละเอียดสั่งฟ้อง โดยพนักงานอัยการ ได้มีคำสั่งฟ้องนายอานนท์ อำภา, นายพริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือเพนกวิน ,นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือไบร์ท ,นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข, น.ส.พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ, น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา ,นายพรหมศร วีระธรรมจา ฐานร่วมกันหมิ่นประมาทสถาบัน ม.112, ร่วมกันกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชน อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ม. 116 จากการปราศรัยหน้ากรมทหารราบที่ 11 ในการชุมนุม ปลดอาวุธศักดินาไทย เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2563 ส่วนน.ส.อินทิรา เจริญปุระ หรือ ทราย ยื่นฟ้องเพียงข้อหามม. 116 ข้อหาเดียว