ตอนหนึ่งในวรรณกรรม “สามก๊ก” เขียนถึงอุบายศึกในยามคับขันเอาไว้น่าสนใจ ผ่านตอนที่ชื่อว่า “จูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า” เป็นเหตุการณ์ที่ “เตียวหุย” สั่งให้ทหารที่มีอยู่ในมือเพียง 20 นายไปรอรับ “จูล่ง” ที่สะพานเตียงปันเกี้ยว ขณะเดียวกันกองทัพของโจโฉ ที่มีกำลังมากกว่าก็ใกล้เข้ามาทุกที เตียวหุยตัดสินใจใช้ทหารที่มีเพียงหยิบมือ เข้าป่าไปตัดกิ่งไม้แล้วนำมาผูกหางม้า สั่งทหารไว้ว่าถ้าเห็นกองทัพโจโฉใกล้เข้ามา จงตีม้าให้วิ่งวนเวียน จนฝุ่นตลบฟุ้งขึ้น เพื่อให้กองทัพโจโฉสำคัญผิดว่ามีทหารซุ่มอยู่ในป่าจำนวนมาก ส่วนตัวเตียวหุยเอง ไปยืนรอสกัดอยู่ต้นสะพานเตียงปันเกี้ยว อุบายศึกสำเร็จในคราวแรก แต่สุดท้ายแล้ว ก็เป็นเพราะ เตียวหุยเอง ที่ “ทำอุบายมิรอด” ตกใจต่อการมาของโจโฉ จนสั่งให้ทหารเอากิ่งไม้ที่ผูกหางม้าออก และให้ชักสะพานกลับ โจโฉจึงรู้ทันทีว่า เบื้องหลังฝุ่นที่ตลบนั้น แท้จริงแล้ว กลับมีทหารเพียงหยิบมือเดียว ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวเกรงอีกต่างหาก การออกมาส่งสัญญาณทั้งทางตรงทางอ้อมจาก “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งมีอิทธิพลต่อ “พรรคเพื่อไทย” ในห้วงเวลาที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนว่า แท้จริงแล้ว ในความคึกคัก มากด้วยความเคลื่อนไหว ลูกน้องต่างห้อมล้อม “นายใหญ่” ทั้งที่บินไปหาถึงดูไบ และที่พบปะกันผ่านวีดีโอคอล กลับพบว่าลึกๆเรา “นายใหญ่” อย่างทักษิณ กำลังหาทางปลุกขวัญและกำลังใจ สร้างความเชื่อมั่น ในยามที่พรรคเพื่อไทย เผชิญหน้ากับความหวั่นไหว เปราะบางอย่างสุดกำลัง ! เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศที่พรรคเพื่อไทย กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อปรากฎคลิปวีดีโอ ในงานเลี้ยงวันเกิดของ “เกรียง กัลป์ตินันท์" รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ท่ามกลางเพื่อนสมาชิกพรรคเพื่อไทย ปรากฏว่าอดีตนายกฯทักษิณ ได้วีดีโอคอลเข้ามาร่วมพูดคุยในงาน สาระสำคัญที่อยู่ในคลิปวีดีโอ ดังกล่าว นอกเหนือไปจากการที่เกรียง พูดทีเล่นทีจริง ด้วยการเสนอชื่อ “คุณหญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยาของทักษิณ ให้เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อว่าด้วยชื่อชั้นของคุณหญิงอ้อ จะเป็นเสมือน “แม่เหล็ก” ที่ดึงดูดลูกน้องทั้งเก่าและใหม่ ให้มาร่วมกันทำงานการเมืองแล้ว ยังพบว่า ทักษิณ ได้พูดถึงทิศทางการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งเอาไว้ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องเดินไปในรูปแบบไหน “ ผมมีหลายแนวทาง รับรองว่าแต่ละแนวทางเนี่ย ส.ส.ที่คิดจะออก รับตังค์เขามาแล้ว ต้องเอาตังค์ไปคืน เที่ยวนี้ต้องชนะแลนด์สไลด์ เพราะว่าชนะธรรมดา มันไม่ให้เป็นรัฐบาลหรอก ถ้าแลนด์สไลด์มันไม่กล้าเป็นรัฐบาล ต้องเอาแลนด์สไลด์ชนิดที่ไม่กล้าเป็นรัฐบาล ” หากถอดรหัสจากคำพูดของทักษิณ ออกมาจะพบว่า ในแต่ละประโยคล้วน “สื่อสาร” ชัดเจน อีกทั้งยังสะท้อนข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ แต่ก็ยากที่จะยอมรับ ! หนึ่ง พรรคเพื่อไทยจะต้องชนะแบบ “แลนด์สไลด์” เท่านั้น คือการชนะแบบถล่มทลาย เหมือนเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทย เคยกวาดส.ส.เข้าสภาฯได้มากที่สุดจนสามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียวมาแล้ว สอง ถ้าชนะแบบธรรมดา “มัน” ไม่ให้เป็นรัฐบาล ! แน่นอนว่า “มัน” ในที่นี้ย่อมหมายถึง “ศัตรูเบอร์หนึ่ง” คือ “พี่น้อง 3ป.” เพราะวันนี้ ในสายตาของทักษิณ คู่แข่งคือ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ส่งสัญญาณจะเป็น “นายกฯสมัยที่3” และสาม ทักษิณ ยังต้องการ “สื่อ”ไปยัง “ลูกน้อง” ที่ “รับตังค์เขามาแล้ว” นั่นหมายความว่า ทักษิณ รู้อยู่เต็มอกว่า วันนี้ภายในพรรคเพื่อไทย ไม่ได้มี “งูเห่า” ปรากฏตัวเท่าที่ตาเห็น หรือตามหน้าสื่อแต่อย่างใด เพราะยังมีที่ “ฝากเลี้ยง” อีกจำนวนไม่น้อย รอวันสละเรือทิ้งพรรค เมื่อกฎหมายเปิดช่องให้ดำเนินการได้ สำหรับพันธมิตรร่วมรบทั้งในฐานะ “ลูกน้อง” ไม่ว่าจะเป็นส.ส.ที่ไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ของเกรียง ตลอดจน “พรรคพวกเพื่อนฝูง” แล้วย่อมรู้สึกฮึกเหิม มีความหวัง เมื่ออดีตนายกฯทักษิณ ประกาศ “เป้าหมาย” ชัดเจน ว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์เท่านั้น อีกทั้งขอให้มั่นใจได้ว่า “นายใหญ่” มี “หลายแนวทาง” ที่จะต่อกรกับ “ฝั่งตรงข้าม” แต่ทว่าลึกๆแล้ว ภาพสะท้อนที่กำลังเกิดขึ้นคู่ขนานกันไป คือปัญหาภายในพรรคเพื่อไทยเองที่ยังแบ่งเป็นก๊ก เป็นกลุ่ม อีกทั้งวันนี้แม้แต่อดีตนายกฯทักษิณ ยังไม่สามารถบอกได้ว่า แท้จริงแล้ว “ใคร” คือ “ว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่” และ “แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคนั้นชื่ออะไร? ภาวะของพรรคเพื่อไทยวันนี้ แม้จะมี “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎร ก็ตาม แต่หลายคนต่างรู้ดีว่า อำนาจ และสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจ ล้วนแล้วแต่ข้ามสมพงษ์ ไปแทบทั้งสิ้น กลับไปขึ้นตรงกับทักษิณ และ “คนใกล้ชิด” ของทักษิณ รวมไปถึงคนของคุณหญิงพจมาน ที่ส่งเข้ามาดูแลภายในพรรคมาก่อนหน้านี้ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีกระแสพูดถึงการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อเตรียมแต่งตัวลงสนามเลือกตั้งรอบหน้า เช่นเดียวกันกับที่วันนี้พรรคเพื่อไทยยังไร้ชื่อ แคนดิเดตนายกฯ ที่จะชูขึ้นมาเพื่อหักล้าง ลดทอน “กระแส” ของพล.อ.ประยุทธ์ลงได้ มิหนำซ้ำ ยังกลายเป็นว่าวันนี้ พรรคเพื่อไทยยังต้องสู้กับกระแสของ “คนรุ่นใหม่” ที่เทใจให้กับ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่นำทัพก้าวไกล เข้าไปบุกในถิ่นอีสาน อ้อนขอคะแนนจากพี่น้องชาวอีสาน แถมล่าสุดยังตีขนานลงด้วยการที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า เดินสายหาเสียง ในภาคอีสานในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงล่าสุดมีรายงานว่า ธนาธร ดึง “คนเสื้อแดงก้าวหน้า” ที่มีแนวทางแตกต่างไปจาก “คนเสื้อแดงทักษิณ”เอามาไว้เป็นฐานในการทำงานการเมืองในพื้นที่ไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ “ศัตรู” ทั้ง “3ป.” ที่จะส่ง พล.อ.ประยุทธ์ ลงมายึดเก้าอี้นายกฯเป็นสมัยที่3 และ พรรคก้าวไกล ที่แม้จะเป็นพรรคน้องใหม่ แต่ต่างบุกเข้าชิงพื้นที่ภาคอีสาน อันถือเป็นหัวใจสำคัญของพรรคเพื่อไทย และในทุกการเลือกตั้งอย่างดุเดือด แต่กลับเป็นทักษิณ เองที่วันนี้ยังไม่สามารถหา บุคคลที่เหมาะสม สร้างความฮือฮา ชนิดที่เรียกว่า “ปัง” มาเป็นทั้งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกฯได้ ด้วยเพราะทุกชื่อที่ถูกพูดถึงนั้น แม้จะมีความเป็นไปได้ หากแต่กลับติด “เงื่อนไข” ที่ทำให้ “ไม่ลงตัว” ทั้ง “เศรษฐา ทวีสิน” ซีอีโอแสนสิริ หรือ “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ลูกเขยคนโตของทักษิณ แม้จะมีโปรไฟล์ที่ดี ในฐานะ “นักบริหาร” แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนจากเจ้าตัว โดยเฉพาะในรายของณัฐพงศ์ เองที่ถึงอย่างไร คุณหญิงอ้อ ก็ไม่ยอมให้ “ไฟเขียว” เพราะไม่ต้องการให้ครอบครัวลูกสาว ต้องพบกับชะตากรรมเหมือนตนเองและทักษิณ หรือแม้แต่ล่าสุดมีการเปิดชื่อ “บิ๊กอ้อบ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีตผบ.ตร. พี่ชายของคุณหญิงพจมานเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว บิ๊กอ้อบ แม้จะเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่ไม่สนใจเรื่องการเมือง เพราะนับตั้งแต่วันที่เกษียณจากผบ.ตร.หลายปีให้หลังความสนใจส่วนใหญ่ของบิ๊กอ้อบ คือความสนใจเรื่องพระเครื่อง เรื่องพุทธคุณ การเฟ้นหาบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ตามความต้องการของทักษิณ ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ทั้งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกฯ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อสเปกที่วางเอาไว้นั้นต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ 100เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งชื่อชั้นจะต้องเป็นที่รู้จัก สามารถกวักมือเรียก “นายทุน” ให้มาร่วมสนับสนุนและเป็นพันธมิตรได้อีกต่างหาก หากจะบอกว่าสถานการณ์ของพรรเพื่อไทย และโดยเฉพาะตัวทักษิณ เองนั้นแท้จริงแล้วย่อมไม่ถือว่าอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ อีกทั้งยังเผชิญหน้ากับภาวะที่บีบคั้นกดดันไปเสียทุกทาง ทั้งภาวะไร้หัว ไร้ตัว “แม่ทัพ” ที่จะนำศึกลงสนาม ทั้ง “ศัตรู” หน้าเก่าอย่าง “พี่น้อง 3ป.” บวกกับการรุกไล่จาก “พรรคก้าวไกล” ตลอดจน การเคลื่อนไหวของ “ม็อบราษฎร” ที่สามารถชิงกระแส “คนรุ่นใหม่” ในฐานะ “โหวตเตอร์” ในวันข้างหน้า แต่เมื่อคนชื่อทักษิณ อยู่ในภาวะที่ “แพ้ไม่ได้” จึงมีแต่การปลุกเร้าทหารในค่ายให้ฮึกเหิม มีความหวัง สู้เพื่อ “ชัยชนะใหญ่” ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ลึกๆ ทักษิณ เองอาจรู้ดีว่าเขากำลังใช้อุบายศึกคล้ายกับเตียวหุย เพื่อทำให้ข้าศึกประเมินกำลังผิดพลาด แต่อุบายศึกเช่นนี้ดูเหมือนว่า “ศัตรู” จะอ่านหมากทั้งกระดานได้แตกฉาน ครบถ้วร กระบวนความจนสิ้นแล้ว !