พรรคพลังประชารัฐ ดูเหมือนจะสงบ สยบศึก หลังจาก “บิ๊กป้อม” พี่ใหญ่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น้องเล็ก แห่ง “3 ป.บูรพาพยัคฆ์” เคลียร์ใจกัน และพีกสุด คือ คู่ขัดแย้ง อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ยอมที่จะมาเจอกัน เจรจาพูดคุยกัน แม้จะไม่อาจเรียกว่าเคลียร์ใจ เพราะยังไม่อาจสมานรอยร้าวในใจได้ก็ตาม แต่ก็ยังคงดีกว่า การหนีหน้า หลบหน้า กัน และ ทำสงครามกันในระยะห่าง เพราะมีรายงานว่า ร.อ.ธรรมนัส ดูอ่อนลง ท่าที และความรู้สึก ที่เคยมีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ดีขึ้น และพยายามที่จะไม่พูด หรือ ทำอะไร ให้ถูกตีความว่า ยังรู้สึกไม่ดี หรือไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะปฏิเสธว่า ผมไม่จำเป็นต้องเคลียร์ใจอะไรกับใครก็ตาม แต่ พล.อ.ประวิตร ก็เสมือนยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ ร.อ.ธรรมนัส คุยกันแล้ว เพียงแต่ว่าคุยกันเอง ไม่ต้องมี พล.อ.ประวิตร เป็นคนกลาง “ผมไม่รู้ๆ เป็นเรื่องของ นายกฯ กับ อดีตรมต.ธรรมนัส ผมไม่ได้เป็นคนกลาง เขาไม่ได้มีอะไรกัน ก็คุยกันได้อยู่แล้ว ผมจะต้องเป็นคนกลางอะไร คุณถามให้มีเรื่องอยู่เรื่อย รักกันอยู่แล้ว พรรคพลังประชารัฐไม่มีอะไร รักกันดีอยู่แล้ว" พล.อ.ประวิตร กล่าว แต่ทว่าสถานที่ที่พบปะคุยเคลียร์กันคือ ที่ มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ของ พล.อ.ประวิตร ที่เจ้าของสถานที่ต้องรับรู้ และที่สำคัญคือ วันนั้น พล.อ.ประวิตร เข้ามาที่บ้านป่ารอยต่อฯ ด้วย แม้จะเป็นวันหยุด ก็เพื่อการนี้นั่นเอง แต่การจะยอมรับว่า มีการเคลียร์ใจกัน ก็จะเป็นการยอมรับว่า มีความขัดแย้ง ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่อาจยอมรับได้ ส่วน พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่า ไม่มีการพูดคุย เพียงแต่ บอกว่า ตนเองไม่ได้เป็นคนกลาง หากแต่ ข้อตกลง ในการเจรจาครั้งนั้นมีอะไร เป็นสิ่งที่ยังคงจับตามอง แต่ย่อมต้องเป็นผลดีต่อตัว ร.อ.ธรรมนัส ร.อ.ธรรมนัส จึงลงพื้นที้ พบปะประชาชน และช่วยเหลือประชาชน แบบรัวๆ เพื่อเตรียมพร้อม สำหรับการเลือกตั้ง ที่คาดว่าจะมีขึ้น ในปี 2565 แน่นอน ท่ามกลางกระแสข่าว ถึงสัญญาใจที่ว่า จะให้กลับมาเป็น รัฐมนตรี แถมเป็น รัฐมนตรีว่าการ เสียด้วย เพื่อชดเชยจากที่ถูกปลดฟ้าผ่า จาก รมช.เกษตรฯ ไป และกระแสข่าว การปรับครม. ที่จะมีขึ้นครั้งสุดท้าย ก่อนยุบสภาฯ ในปีหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะให้ พล.อ.ประวิตร เป็น รองนายกฯ ควบ รมว.มหาดไทย เพื่อเตรียมพร้อมเลือกตั้ง จะเห็นได้จากการที่ พล.อ.ประวิตร ลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ เพื่อให้เห็นว่า ยังคงเดินไหว ทำงานไหว ลงพื้นที่ได้ ที่สำคัญคือ ความนิ่งของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ไม่เข้าร่วมวงการเจรจาเคลียร์ใจ ทั้งกับ ระหว่าง “พี่ป้อม” กับ “น้องตู่” และ ระหว่าง นายกฯประยุทธ์ กับ ร.อ.ธรรมนัส แต่ พล.อ.อนุพงษ์ จะคุยแต่กับ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น และลงพื้นที่กับนายกฯ ด้วยตลอด ไม่มีรายงาน ยืนยันว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะยินยอม ยกเก้าอี้ มท.1 ให้ “พี่ป้อม” หรือไม่ เพื่อเป็นการ “ง้อ” พี่ใหญ่ให้หายโกรธ จากการที่ โดน น้องทั้ง 2 วางแผนในการปลด ลูกรักทั้ง 2 ของ “พี่ใหญ่” แต่กระแสข่าวนี้ ก็ยังคลอๆอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ และเป็นความหวังของ ส.ส. ในพรรค ที่ใฝ่ฝัน อยากให้ พล.อ.ประวิตร เป็น มท.1 มานานแล้ว ที่สำคัญคือ หาก พล.อ.ประวิตร เป็น มท.1 ลูกรักทั้ง 2 อย่าง ร.อ.ธรรมนัส และ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค อดีต รมช.แรงงาน ที่ถูกปลดพร้อมกัน ก็จะได้มาช่วยงาน มท.1 นอก ครม. ด้วย หาก พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจ เลือกเดินตามเกมนี้ ก็ย่อมหมายถึง การล่มหัวจมท้าย กับ พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐต่อไป ไม่มีการแยกวง ไปตั้งพรรคใหม่ เช่นที่กองหนุนบิ๊กตู่ เชียร์ก่อนหน้านี้ แม้ว่าพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ “ปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดมหาดไทย ที่เพิ่งเกษียณไป มือขวา “บิ๊กป๊อก” นั้น จะยังคงไม่เปิดเผย แผนทางการเมือง ว่าจะไปต่อ หรือเปลี่ยนแผน แต่ พรรคนี้ ยังคงจะเป็น แผนสำรอง ของ พล.อ.ประยุทธ์ ไว้ พล.อ.ประยุทธ์ ลุยลงพื้นที่ ขนาดนี้ สะท้อนความตั้งใจว่า จะไปต่อ บนถนนการเมือง ต้องการเป็นนายกฯ สมัยที่ 3 และทำลายสถิติ เป็นนายกฯต่อเนื่อง นานกว่า “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ที่เป็น 8 ปี และตกลงกับ พล.อ.ประวิตร แล้วว่า จะเสนอชื่อ เป็นแคนดิเดท นายกฯ เบอร์ 1 ของพรรคพลังประชารัฐ แต่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่มั่นใจนัก คือการตีความรัฐธรรมนูญ เรื่องการเป็นนายกฯ 8 ปี แม้ที่ผ่านมาไม่ว่า เรื่องคุณสมบัติ การไม่เป็น เจ้าหน้าที่รัฐ และ เรื่องอยู่บ้านหลวงในค่ายทหาร พล.อ.ประยุทธ์ ก็รอดมาทุกครั้งก็ตาม แต่ครั้งนี้ กองหนุนของ พล.อ.ประยุทธ์ แปรพักตร์ เปลี่ยนผันไปหลายคน โดยเฉพาะคนใกล้ๆตัว และอาจทำให้ การตีความ ไม่เป็นคุณ กับ พล.อ.ประยุทธ์ ยิ่งหาก กระแสข่าวลือ ที่ว่า พล.อ.ประวิตร ต้องการเปลี่ยนนายกฯ หานายกฯใหม่ เป็นจริงนี่ก็อาจเป็นทางออก และทางลง ของเกมนี้ก็เป็นได้ แต่อยู่ที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยอมหรือไม่ อีกทั้งกระแสข่าว เรื่อง นายกฯสำรอง ที่ พล.อ.ประวิตร กำลังมองหาอยู่ ก็เป็นประเด็นที่ ทำให้เกิดความหวาดระแวง ดัชนีหลายอย่างที่สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีต่อพี่ใหญ่ เช่น การเรียก เลขาฯปปช. มาพบที่ทำเนียบฯ ก่อน ที่ต่อมา “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายนายกฯ จะรอดคดีปกปิดทรัพย์สิน ทั้งนี้เป็นที่ตั้งข้อสังเกตุกันว่า พล.อ.ประวิตร มีความสนิทสนมใกล้ชิด กับ ปปช. แถมยังมีคดีของ พล.อ. อนุพงษ์ และร.อ.ธรรมนัส ในปปช. อีกด้วย หาก พล.อ.ประยุทธ์ จะไปต่อ ก็ต้องเดินเกมเอง ทุกเรื่อง ทั้งการเมือง และองค์กรอิสระ เพราไม่เช่นนั้น อาจตายน้ำตื้น เพราะแม้จะคุย เคลียร์กันแล้ว แต่ก็อาจเป็น การลวงให้ชะล่าใจ เพื่อที่จะได้ไม่หวาดระแวงต่อกัน แล้วต่างฝ่ายต่างก็เดินเกมของตนเอง ท้ายที่สุด เก้าอี้ นายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งสมัยหน้า จะเป็นคำตอบว่า เคลียร์ใจกันแล้ว จริงหรือไม่ และพี่น้อง 3 ป. ยังคงรักกันเหมือนเดิมหรือไม่ ได้เป็นอย่างดี