ตามที่ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ กระทรวงการคลังมีกำหนดจะเริ่มใช้โครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่แทนโครงสร้างปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ 16 ก.ย.60 นั้น และมีกระแสข่าวว่าเครือข่ายรณรงค์ต่อต้านยาสูบกำลังกดดันกระทรวงการคลังอย่างหนักให้ขึ้นภาษีบุหรี่มากๆ เพื่อลดการสูบบุหรี่และเพิ่มรายได้ภาษีให้รัฐ โดยปฏิเสธว่าการขึ้นภาษีเป็นตัวทำให้เกิดปัญหาบุหรี่เถื่อนนั้น นายสุเทพ ทิมศิลป์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ ให้ความเห็นว่ารัฐมีบทเรียนจากการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่รอบที่แล้วเมื่อปี 2560 ซึ่งทำให้บุหรี่ยี่ห้อหลักๆของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ต้องขึ้นราคา 10-30 บาทต่อซอง หรือราว 20%-50% เพราะภาระภาษีเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในชั่วข้ามคืน จึงเกิดปัญหาบุหรี่เถื่อนทะลักเข้ามามากขึ้นถึง 29% ในที่สุดกำไรของ ยสท.ลดลงไป 94% จาก 9.3 พันล้านบาทเมื่อปี 2560 เหลือเพียง 550 ล้านบาทในปี 2563 ทำให้ ยสท.ไม่มีกำลังและความต้องการซื้อใบยาสูบมากเหมือนเมื่อก่อน “ท่านรัฐมนตรีอาคมไม่ควรอ่อนไหวไปกับกระแสกดกันของกลุ่มเอ็นจีโอ ถ้าคิดกันเพียงว่าการขึ้นภาษีสูงๆ จะช่วยดูแลสูขภาพคนไทยและเพิ่มรายได้ภาษีให้รัฐ แต่ไม่ได้ประเมินสภาพความเป็นจริงในประเทศอย่างรอบด้านอย่างแท้จริง เป็นไปได้สูงว่าจะเกิดปัญหาซ้ำรอยปี 2560 ที่ทำให้บุหรี่ถูกกฎหมายต้องขึ้นราคาอย่างก้าวกระโดดจนบุหรี่เถื่อนเกลื่อนเมือง จะหวังการปราบปรามก็ทำได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งเป็นปัญหากับอาชญากรรมอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องบุหรี่เถื่อน นี่คือเหตุผลว่าทำไมตอนนี้บุหรี่เถื่อนถึงทะลักเข้ามามาก ตอนนี้ไม่ใช่แค่กำไรของ ยสท. และรายได้ของชาวไร่ยาสูบเท่านั้นที่ลดลง แต่รายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบของรัฐบาลที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ก็ลดลงทุกปีเช่นกัน” นายสุเทพกล่าวถึงผลกระทบในอุตสาหกรรมยาสูบจนถึงปัจจุบันว่า เกษตรกรและเครือข่ายผู้ค้าบุหรี่ที่ขายบุหรี่ถูกกฎหมายอีกเกือบ 500,000 คนทั้งต้นน้ำ-กลางน้ำและปลายน้ำได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดระยะเวลาเกือบ 82 ปี ที่ตั้งโรงงานยาสูบ จนมาถึงการเป็นการยาสูบแห่งประเทศไทย และทำให้เกษตรกรซึ่งปลูกยาสูบนั้นได้รับผลกระทบและต้องออกมาประท้วงกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน และที่สำคัญก็คือผู้สูบบุหรี่ก็ไม่ได้ลดน้อยลงตามวัตถุประสงค์ที่เครือข่ายต่อต้านได้ตั้งความหวังไว้ ผลกำไรสุทธิ 88% ที่ยสท. ต้องนำส่งเข้าคลัง ก็ไม่ได้มีการนำส่งมาตั้งแต่ปี 2560 เท่ากับเม็ดเงินในการบริหารประเทศหายไปถึง 34,000 ล้านบาท ภาษีก็เก็บได้น้อยลง แต่บุหรี่เถื่อนได้ประโยชน์มากขึ้น สำหรับการปรับโครงสร้างภาษีครั้งใหม่ที่จะใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 เป็นต้นไปนั้น อยากวิงวอนฝ่ายนโยบายและท่านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่สมัยปี 2560 ว่าอย่าทำพลาดซ้ำสอง ขอให้ภาระภาษีใหม่นี้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ถ้าบุหรี่ถูกกฎหมายต้องขึ้นราคาอีก 6-8 บาทตามข่าวก็ถือว่ามากแล้ว ขอให้ ยสท. พร้อมพนักงานและลูกจ้างเกือบ 3 พันชีวิต ได้ลืมตาอ้าปากบ้าง นายสงกรานต์ ภักดีจิตร นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์จังหวัดเพชรบูรณ์ หนึ่งในแกนนำภาคีชาวไร่ยาสูบแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าตั้งแต่ที่ชาวไร่ยาสูบถูก ยสท. ตัดโควตารับซื้อในปี 2561 มาต่อเนื่อง 4ปีหลังจากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่เมื่อปี 2560 นั้น ที่ผ่านมาชาวไร่ได้เงินชดเชยเพียงปีเดียวคือของปี 2561 “ตอนนี้พี่น้องชาวไร่ยาสูบกว่า 3 หมื่นครอบครัวในจังหวัดภาคเหนือ อีสานและภาคกลาง ต่างฝากความหวังไว้ที่นายกฯ และ รมว.คลังว่า จะไม่ปล่อยให้โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ซ้ำเติมปัญหาปากท้องซึ่งลำบากมากอยู่แล้วตอนนี้ หากบุหรี่ต้องขึ้นราคาไปถึง 8 บาทต่อซอง ไปขายที่ราคา 68 บาท ตามที่เป็นข่าวจริงๆพวกเราคงต้องโดนการยาสูบฯ ลดโควตารับซื้อใบยาสูบลงอีกแน่ๆ อีกวันสองวันนี้เราจะเดินทางไปยื่นหนังสือที่กระทรวงการคลังเพื่อให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ” ส่วนเรื่องเงินชดเชยพวกเราเรียกร้องมาต่อเนื่องทุกปีแต่ก็ยังไร้วี่แวว อยากฝากไปถึง รมว.คลังและนายกรัฐมนตรีว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่อ่อนแอแบบนี้หวังว่าท่านจะเห็นใจพวกเราบ้าง อย่าคิดแต่จะขึ้นภาษีมากๆ เป็นการซ้ำเติมชาวไร่ตามที่นักวิชาการเรียกร้อง เพราะเจ็บมาพอแล้วในปี 2560 ดังนั้นในครั้งนี้ขอให้ท่านฟังเกษตรกรรากหญ้าอย่างพวกเราบ้างไม่ใช่ฟังแต่หมอหรือนักวิชาการที่เอาแต่เป้าหมายสุขภาพโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ