นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เผยว่า กรมฯ ได้เสนอแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลังพิจารณาแล้ว หลังจากนี้ คาดว่านายอาคมว่าจะนำเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบภายในเดือนนี้ เนื่องจากว่าโครงสร้างภาษีใหม่จะต้องมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 ต.ค. 2564 ทั้งนี้กรมสรรพสามิตได้มีการพิจารณาอย่างรอบครอบในการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่อ ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เคยเกิดในอดีต และตอบโจทย์ใน 4 เรื่องหลัก คือ 1. ด้านสาธารณสุข 2. ด้านเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ จะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด 3. ด้านรายได้ของรัฐบาลจะต้องไม่ลดลง และ 4. ด้านการดูแล บริหารจัดการบุหรี่เถื่อน และบุหรี่ปลอม ภายใต้โจทย์ทั้ง 4 เรื่องนี้ โครงสร้างภาษีใหม่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มผู้ค้าบุหรี่บางกลุ่มต้องการ เพราะว่ามีข้อเสนอที่สุดโต่งเกินไป "ยังบอกไม่ได้ว่าโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่จะเป็นอัตราเดียว หรือ 2 อัตราเหมือนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยภาษีใหม่ต้องตอบโจทย์ทั้ง 4 เรื่องหลัก เช่น ด้านสาธารณสุขก็จะมีความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพ จึงอยากให้ขึ้นภาษีแพงๆ แต่ก็ต้องมองด้านอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้อุตสาหกรรมบุหรี่ทั้งอุตสาหกรรมยังเดินหน้าต่อไปได้" รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า กรมสรรพสามิตได้เสนอให้กระทรวงการคลังนำโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่เสนอให้ที่ประชุม ครม. พิจารณาในวันที่ 21 ก.ย. 2564 เพื่อจะได้มีเวลาให้ ครม. พิจารณาตัดสินใจ หากมีข้อปัญหาที่จะต้องเปลี่ยนแปลง หรือปรับปรุงก็จะมีเวลาพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไปได้ทัน และให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค. นี้ รายงานข่าวจากผู้ค้าบุหรี่ กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดบุหรี่ได้เริ่มมีการกักตุนสินค้ามานานหลายเดือนแล้ว เพราะเป็นที่คาดการณ์กันว่าอัตราภาษีตามโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่จะมีการปรับเพิ่มขึ้นแน่นอน ถึงแม้มูลค่าจะไม่ปรับขึ้นจาก 20% เป็น 40% ตามกฎหมายเดิม แต่อัตราการจัดเก็บขั้นต่ำตามมูลค่าของโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่จะมากกว่า 20% แน่นอน แต่คงไม่ถึง 40% "เบื้องต้นมีการคาดการณ์กันในตลาดผู้ค้าบุหรี่ ว่า ราคาบุหรี่หลังโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่มีผลบังคับใช้ ราคาขายปลีกบุหรี่อาจจะมีการปรับเพิ่มขึ้น 6-8 บาทต่อซอง" อย่างไรก็ตาม โครงสร้างภาษีบุหรี่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีการเก็บตามปริมาณที่มวลละ 1.20 บาท บวกกับตามมูลค่า 20% สำหรับบุหรี่ที่ราคาขายปลีกไม่เกิน 60 บาทต่อซอง และ 40% สำหรับบุหรี่ที่ราคาขายปลีกที่ราคาเกิน 60 บาทต่อซอง โดยตามกฎหมายเดิม ในวันที่ 1 ต.ค. 2564 การเก็บภาษีบุหรี่ตามมูลค่าจะต้องเหลืออัตราเดียวที่ 40% ทุกชนิดราคาบุหรี่ ซึ่งทั้งผู้ค้าบุหรี่และชาวไร่ยาสูบไม่เห็นด้วย เนื่องจากจะทำให้ราคาบุหรี่ปรับขึ้นสูงอย่างมาก