คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
บทความฉบับนี้ผมขอรายงานส่งตรงจากสหรัฐอเมริกา ขณะที่ผมต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจชั่วคราว ฉะนั้นหากมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆใหม่ๆผมใคร่ขอนำมาแบ่งปันให้ท่านผู้อ่านได้ทราบเป็นระยะๆ
นับตั้งแต่ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว เขามีความมุ่งมั่นต้องการที่จะขับเคลื่อนเร่งรีบแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยออกคำสั่งและอำนวยความสะดวกให้แก่หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องของภาครัฐในทุกๆระดับ เพื่อให้คนอเมริกันทุกๆคนได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง ซึ่งศูนย์บริการมีมากกว่าแปดแสนแห่งทั่วสหรัฐฯ แถมยังอำนวยความสะดวกต่อผู้ต้องการฉีดวัคซีนที่สามารถจะเดินเข้าไปรับวัคซีนตามร้านขายยาทุกๆแห่ง และรัฐบาลยังให้ความร่วมมือกับวงการธุรกิจและองค์กรต่างๆทำการชักชวนให้พนักงานในองค์กรเหล่านั้นรับการฉีดวัคซีนกันอย่างทั่วถึง!!!
ถึงแม้ว่าคนอเมริกันจะได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วถึง 179 ล้านรายก็ตาม แต่ก็ยังคงมีคนอเมริกันอีกกว่าแปดสิบล้านคนไม่ยอมฉีดวัคซีนโดยพวกเขาพากันดื้อแพ่งมองข้ามผลประโยชน์ที่ตนเองพึงได้รับ เพราะผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 จะมีความปลอดภัยมากกว่าถึง 11 เท่าของผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
ผมสังเกตเห็นว่าวงการธุรกิจและองค์กรภาครัฐของสหรัฐฯต่างให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดีทั้งทางด้านการป้องกัน แม้กระทั่งในการรักษาระยะห่าง ตัวอย่างอาทิเช่น ตอนที่ผมต้องการเปิดบัญชีเพื่อจะทำธุรกรรมทางด้านการเงินกับธนาคาร แต่กลับปรากฏว่าผมไม่สามารถที่จะเดินเข้าไปแบบตัวปลิวหิ้วกระเป๋าได้ เพราะผมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกดโทรศัพท์นัดหมายกับพนักงานแบงค์ล่วงหน้าถึงสามวัน เพราะธนาคารมีมาตรการไม่ต้องการให้ลูกค้าเข้าไปแออัดยัดทะนานรวมตัวกันมากๆในสถานที่เดียวกัน โดยหน่วยงานของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนส่วนใหญ่จะเน้นให้บริการประชาชนทางออนไลน์แทบทั้งสิ้น!!!
เพื่อลดจำนวนผู้ที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายามงัดเอามาตรการเชิงบังคับต่างๆนาๆมาใช้กับพนักงานทุกๆคนในทุกๆสำนักงานให้มีการฉีดวัคซีน แต่กลับปรากฏว่ามีผู้ที่ไม่พอใจบ่ายเบี่ยงไม่ต้องการให้ความร่วมมือ รวมไปถึงบรรดาผู้ว่าการรัฐที่สังกัดพรรคพรรครีพับลิกัน ทำบึ้งตึงต่อต้านไม่ยอมแม้กระทั่งสวมหน้ากาก โดยออกมากล่าวอ้างแบบข้างๆคูๆว่า “ข้าพเจ้ามีสิทธิและเสรีภาพในการเลือก” จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่จะมีข่าวออกมาให้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆว่า มีนักการเมือง รวมถึงผู้ว่าฯบางรัฐติดโรคโควิด-19 ไปตามๆกัน
แต่กลับปรากฏว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็หาได้ถอดใจแพ้ไปอย่างง่ายๆดายๆ โดยเขาจัดสรรทีมงานให้เร่งคิดหาวิธีการแปลกๆใหม่ๆประกาศยื่นข้อเสนอให้ผลตอบแทนด้วยรางวัลล่อใจในรูปแบบต่างๆนาๆต่อผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีน
อีกทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดนยังได้ออกกฏขอร้องแกมบังคับให้ภาคธุรกิจที่มีพนักงานเกินหนึ่งร้อยคนขึ้นไปต้องได้รับการฉีดวัคซีน หรือไม่ก็จะต้องมีการตรวจโควิดเป็นรายสัปดาห์
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม2021 ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ออกมากล่าวถ้อยแถลงว่า “นับตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2021 นี้เป็นต้นไป ผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็มที่สองผ่านไปแล้วแปดสัปดาห์ จะต้องได้รับการฉีดบูสเตอร์ในเข็มที่สามอีกด้วย”
อนึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ให้หลักประกันว่า วัคซีนมีเพียงพอกับความต้องการของคนอเมริกันทุกๆคนอีกด้วย
จากมาตรการที่เคร่งครัดเช่นนี้ ปรากฏผลออกมาว่า ในจำนวนของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนห้าพันรายจะมีโอกาสติดเชื้อโควิด-19 เพียงแค่หนึ่งรายเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเราจะเห็นจากข่าวสารที่ต่างออกมารายงานแทบทุกๆวันว่า สถานการณ์โควิดยังไม่ทรงตัว เนื่องจากมีไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆแพร่ระบาดขึ้นมา โดยขณะนี้มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯโดยเฉลี่ยแล้วมากถึง 1500 รายต่อวันเลยทีเดียว!!!
เป็นที่น่าสนใจอีกด้วยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกกฎหมายที่มีชื่อว่า “The Families First Coronavirus Response Act” โดยผู้ที่ต้องการจะรับการตรวจเชื้อโควิดไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
นอกเหนือจากนั้นแล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีจิตเมตตาตั้งเป้าหมายแสดงเจตจำนงต้องการที่จะบริจาควัคซีนแบบปราศจากเงื่อนไขต่อประเทศต่างๆทั่วโลก 11 พันล้านโดส โดยเริ่มบริจาคไปแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2021 ที่ผ่านมานี้ ซึ่งเขาได้ตั้งเป้าหมายว่า จะให้ประชากรทั่วโลกได้เข้าถึงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันอย่างน้อย 70%
นอกจากนั้นแล้วสหรัฐฯยังได้บริจาควัคซีนผ่านโครงการ COVAX ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือระดับโลกและยังเป็นเสาหลักเกี่ยวกับการเร่งพัฒนาด้านการผลิตและปรับปรุง เพื่อส่งต่อวัคซีนแจกจ่ายไปทั่วทุกมุมโลก โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนตั้งเป้าหมายต้องการจะให้โรคโควิดอยู่ในขั้นที่สามารถเข้าไปควบคุมได้
อนึ่งเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2021 นี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้แถลง ณ ทำเนียบขาวว่าสหรัฐฯบริจาควัคซีนไปแล้วถึง 65 ประเทศและได้สั่งไฟเซอร์เพิ่มอีก 500 ล้านโดสเพื่อบริจาคให้กับประเทศที่กำลังเผชิญปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีเป้าหมายที่จะให้สหรัฐฯเป็นประเทศแนวหน้าอันดับหนึ่งของโลกในการบริจาควัคซีน เพื่อช่วยเหลือคนระดับล่างของสังคมในประเทศต่างๆ โดยเขากล่าวย้ำว่า “การแจกจ่ายวัคซีนระดับมาตรฐานสากลแก่ประชาชาติทั่วโลกจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้ว่าสหรัฐฯจะสร้างกำแพงสูงมากสักเพียงไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถป้องกันปิดกั้นโรคโควิด-19ได้เลย ”
แท้จริงแล้วเนื่องจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนสนับสนุนหลักวิทยาศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด จึงเป็นที่มาก่อนการเลือกตั้งสองเดือนของการที่มีผู้ที่เคยชนะรางวัลโนเบลถึง 81 ราย ออกมากล่าวประกาศรับรองให้ โจ ไบเดน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี โดยข้อแถลงนั้นมีเพียงสั้นๆว่า “ประวัติศาสตร์ของแวดวงการเมืองสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา ยังไม่มีผู้นำคนใดเลยที่จะชื่นชมคุณค่าของวิทยาศาสตร์ได้มากเทียบเท่ากับโจ ไบเดน ที่ได้ออกมาแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าต้องการและพร้อมจะรับฟังต่อข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ”
นอกเหนือจากนั้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2020 “ส.ส.คริส ไบรอัน” ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคแรงงานของประเทศอังกฤษยังได้เสนอชื่อให้ โจ ไบเดน รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ อีกด้วย
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นนอกจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะสารถสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงให้คนอเมริกันได้ประจักษ์กันแล้วในระยะเวลาเพียงแค่เจ็ดเดือนกว่าๆ แถมผลงานดีๆก็ยังมีให้เห็นอีกมากมาย อาทิ สั่งการให้หน่วยงานออกนโยบายช่วยเหลือคนระดับล่างให้มีบ้านที่อยู่อาศัยในราคาจับต้องได้ ยกเลิกเงินกู้ให้กับนักเรียนทุพพลภาพกว่าสามแสนคน ลงนามแผนการกู้ภัยหรือที่เรียกกันว่า Covid-19 Stimulus เป็นเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญ เพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเพิ่มโควตาของผู้ลี้ภัยจาก 15,000 เป็น 62,500 ราย ส่วนทางด้านสิทธิมนุษยชนนั้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังได้เพิ่มเงินช่วยเหลือทหารอเมริกันที่เดินทางกลับจากอัฟกานิสถานจากหนึ่งล้านเหรียญเป็น 10 ล้านเหรียญ รวมทั้งการอพยพช่วยเหลือชาวอัฟกันกว่า 37,800 รายภายในแปดวัน ประธานาธิบดีไบเดนสามารถยุติสงครามอัฟกานิสถานที่มีมาอย่างยาวนาน 20 ปี นี่เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งในผลงานดีๆที่ช่างมีความสุขุมรอบคอบ คิดในวงกว้างยึดเอาแต่ผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก ทั้งนโยบายภายในประเทศและต่างประเทศ โดยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเยี่ยงนี้สมแล้วกับการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่น่าให้เสียงปรบมือชื่นชมอย่างยิ่งละครับ