นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในการสัมมนา อนาคตเศรษฐกิจไทย ใครชี้ชะตาว่า ตลาดทุนไทยยังคงมีความแข็งแกร่งแม้ว่าจะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยในปี 2563 ที่ผ่านมาเป็นแหล่งระดมทุนสูงสุดเป็นอันดับ 7 ของโลก อันดับ 2 ของเอเชีย และอันดับ 1 ของอาเซียน แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่สภาพคล่องยังดี บริษัทเอกชนเข้ามาระดมทุนต่อเนื่อง การซื้อขายหุ้นและสภาพคล่องสูงจากเดิมวันละ 68,000 ล้านบาท เป็นวันละ 93,000 ล้านบาท สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าขยายตัวได้ร้อยละ 1 จากปีที่แล้วติดลบร้อยละ 6 จากผลกระทบโควิด-19 โดยเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้จากตัวเลขการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 16 โดยมีปัจจัยสำคัญสำคัญคือจัดการวัคซีนที่ให้ประชาชนเข้าถึงได้มากสุด เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าได้ ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกปีหน้า ยังความมีเปราะบาง หากมีการฟื้นตัวจะทำให้มีการดึงสภาพคล่องออกจากตลาดทำให้ความผันผวนมากขึ้น “การฟื้นตัวของเศรษฐกิจครั้งนี้แตกต่างจากวิกฤติหลายครั้งก่อนหน้า โดยเฉพาะตลาดทุนไทยฟื้นตัวค่อนข้างหลากหลาย ทั้งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ค่อนข้างน้อยและฟื้นตัวได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจภาคการส่งออก ธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจเทคโนโลยี ธุรกิจพลังงาน ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจอุปโภคบริโภค ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจการเงินยังฟื้นตัวกลับไปไม่เท่ากับช่วงต้นปี 63 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19” โดยสาเหตุที่ธุรกิจภาคการส่งออกฟื้นตัวได้เร็ว เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น ซึ่งธุรกิจภาคการส่งออกคิดเป็น 60% ของเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้ไทยฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาด และเรามองว่าทั้งภาคการส่งออก หรือธุรกิจที่ฟื้นตัวแล้วทั้งธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจเทคโนโลยี และธุรกิจพลังงาน ก็จะสามารถดันเศรษฐกิจไทยให้โตต่อไปได้ ก่อนที่ธุรกิจภาคบริการจะกลับเข้ามา ทั้งนี้บริษัทที่ฟื้นตัวได้เร็วจะมีการปรับตัวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เปลี่ยนระบบจาก Manual มาสู่ Automatic มากขึ้น รวมทั้งปรับระบบการทำงานมากสู่การ Work From Home และมีการดูแลและเอาใจใส่พนักงานมากขึ้น อีกทั้งยังปรับให้มีสินค้าหรือบริการที่หลากหลายให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ รวมไปถึงการมีตลาดหลากหลาย ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางการหารายได้ที่มากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้บริษัทต่างๆได้เน้นเรื่องการทำธุรกิจแบบยั่งยืน ให้ความสำคัญทั้งสิ่งแวดล้อมและสังคม อาทิ การสนับสนุนซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทให้สามารถเติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทที่สามารถจัดการเรื่องความยั่งยืนได้ดีจะให้ผลตอบแทนในตลาดทุนค่อนข้างสูง และการทำธุรกิจแบบยั่งยืนส่งผลทำให้นักลงทุนต่างชาติหันมาสนใจตลาดทุนไทยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดแข็งให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ สำหรับมุมมองของนักลงทุนต่างชาติยังคงมีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องข้อมูลนโยบายภาครัฐในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมไปถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวของแต่ละบริษัทให้เติบโตได้ในยุค New Normal อีกทั้งยังให้ข้อมูลเรื่องการทำธุรกิจแบบยั่งยืนของแต่ละบริษัทอีกด้วย เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติได้เข้าใจถึงสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยและเห็นถึงการปรับตัวของแต่ละบริษัทเพื่อผ่านวิกฤตในครั้งนี้ “สิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาครั้งนี้คือการที่ประชาชนทุกคนจะต้องได้รับการฉีดวัคซีน ทุกภาคส่วนจึงจะกลับมาได้ และถ้าหากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว การช่วยเหลือทางด้านสภาพคล่องบางอย่างจะถูกดึงออกจากระบบการเงิน อาจทำให้เกิดความผันผวนในตลาดทุน รวมไปถึงการที่โลกเปลี่ยนไปเป็นยุค New Normal ก็ทำให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อรับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ในอนาคตอีกด้วย” โดยขณะนี้ ตลท.ยังได้พัฒนาตลาดรูปแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางการระดมทุนสำหรับบริษัทสตาร์ทอัพ หรือ SME ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อให้ออกมาในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในไตรมาส 3/64 เชื่อว่าตลาดดังกล่าวจะเป็นอีกทางเลือกสำหรับการระดมทุนของธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้นในอนาคต